การเทรดกับเทรนด์ vs การเทรดสวนเทรนด์: กลยุทธ์ไหนดีกว่ากัน?

การเทรดกับเทรนด์ vs การเทรดสวนเทรนด์: กลยุทธ์ไหนดีกว่ากัน?

เมื่อพูดถึงการเทรดในตลาด ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น หรือคริปโต หนึ่งในคำถามที่เจอบ่อยมากคือ “ควรเทรดตามเทรนด์หรือสวนเทรนด์?” บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงสองกลยุทธ์นี้แบบละเอียด ชนิดที่อ่านจบแล้วคุณจะสามารถตัดสินใจได้เลยว่าแนวทางไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด

เทรนด์คืออะไร? ทำไมมันถึงสำคัญขนาดนั้น?

เทรนด์ หรือที่เราเรียกกันว่าแนวโน้มของราคาในตลาด เป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักเทรดไม่ควรมองข้าม มันเปรียบเสมือนกระแสของแม่น้ำที่พาเราล่องลอยไป ถ้าเราเข้าใจว่าแม่น้ำกำลังไหลไปทางไหน โอกาสที่เราจะลอยไปถึงฝั่งก็ย่อมมากกว่าการพายสวนกระแสน้ำ เทรนด์ช่วยให้นักเทรดรู้ว่าควร “ไปต่อ” หรือ “พักก่อน” มันช่วยให้เราวางกลยุทธ์ได้ชัดเจน ทั้งการเข้าออกออเดอร์ การจัดการความเสี่ยง และการคาดการณ์พฤติกรรมของตลาดในอนาคต

การมองเห็นเทรนด์ไม่ใช่แค่การดูกราฟแล้วบอกว่าราคาขึ้นหรือลง แต่เป็นการอ่านพฤติกรรมของฝูงชนที่กำลังกระทำในตลาด แนวโน้มที่ชัดเจนมักเกิดจากแรงซื้อหรือขายของนักลงทุนจำนวนมากที่เห็นสัญญาณหรือข่าวสารเดียวกัน ซึ่งทำให้ราคามีทิศทางที่ชัดเจน เมื่อเทรนด์เริ่มปรากฏ การเข้าเทรดในจังหวะที่เหมาะสมสามารถสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องได้ โดยไม่จำเป็นต้องจับจุดกลับตัวได้เป๊ะ ๆ แค่รู้ว่า “ตอนนี้เราต้องเล่นฝั่งไหน” ก็เพียงพอแล้ว

ในบางช่วงของตลาด เทรนด์อาจดูไม่ชัดเจนหรือมีความผันผวนสูง การเข้าใจและแยกแยะว่ากำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น ขาลง หรือไซด์เวย์ (เคลื่อนไหวในกรอบ) เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าคุณเข้าใจผิด เทรดสวนเทรนด์โดยไม่รู้ตัว โอกาสที่จะเจอ Stop Loss บ่อย ๆ ก็สูงขึ้น การอ่านเทรนด์ที่แม่นยำจึงช่วยลดการเทรดแบบ “เดาสุ่ม” และเพิ่มความมั่นใจให้กับกลยุทธ์ของคุณ

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์ระดับโปร การเข้าใจเทรนด์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ มันคือภาษาของตลาด และการรู้ว่าเทรนด์กำลังจะเริ่มหรือจบลงตรงไหน เปรียบเสมือนคุณมีเข็มทิศในป่าทึบ การเทรดโดยไม่มีความเข้าใจในเทรนด์ก็เหมือนขับรถโดยไม่มีแผนที่ คุณอาจจะไปถึงจุดหมาย แต่ก็เสี่ยงมากที่จะหลงทางหรือเสียเวลาโดยไม่จำเป็น

กลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์ (Trend Following)

เครื่องมือ ประเภทอินดิเคเตอร์ การใช้งานหลัก เหมาะกับตลาด จุดเด่น
Moving Average (MA) แนวโน้ม (Trend) ใช้ดูทิศทางของราคาในระยะกลาง-ยาว ทุกตลาด เข้าใจเทรนด์ง่าย ใช้งานไม่ซับซ้อน
MACD โมเมนตัม + แนวโน้ม ใช้ยืนยันการเกิดเทรนด์ใหม่ ตลาดที่มีความผันผวน รวมความแม่นของโมเมนตัมและเส้น MA
Trendline เครื่องมือวาดกราฟ ใช้วาดแนวรับแนวต้านในทิศทางของเทรนด์ ตลาดที่มีทิศทางชัดเจน ช่วยระบุจุด Breakout หรือ Pullback ได้ดี
ADX ความแข็งแรงของเทรนด์ วัดว่าตลาดมีเทรนด์แรงพอหรือไม่ ตลาดที่เคลื่อนไหวเร็ว คัดกรองตลาดที่เหมาะกับการเทรดตามเทรนด์
Parabolic SAR แนวโน้ม + จุดเข้าออก ช่วยบอกจุดกลับตัวและติดตามเทรนด์ ตลาดที่กำลังวิ่งแรง ให้สัญญาณเข้าออกที่ชัดเจนแบบ Dynamic

กลยุทธ์การเทรดสวนเทรนด์ (Counter-Trend Trading)

สวนกระแส ฟังแค่ชื่อก็น่าหวาดเสียวแล้วใช่ไหม? แต่ในโลกของการเทรด บางครั้งคนที่กล้าสวนกระแสกลับเป็นคนที่ทำกำไรได้มากที่สุด เพราะไม่มีแนวโน้มไหนในโลกที่จะคงอยู่ตลอดไป ทุกเทรนด์ย่อมมีจุดพัก จุดกลับตัว และจุดจบ การเทรดสวนเทรนด์จึงเป็นกลยุทธ์ที่อาศัยความเข้าใจลึกซึ้งและการอ่านตลาดอย่างชาญฉลาด หากใช้ถูกวิธี มันสามารถเป็นเครื่องมือทำเงินชั้นดีได้เลยทีเดียว

  • สามารถซื้อได้ในราคาที่ “ถูกสุด” หรือขายได้ในจุดที่ “แพงสุด” เมื่อจับจังหวะกลับตัวได้ถูก
  • เหมาะกับการเทรดระยะสั้น (Scalping, Day Trading) เพราะจังหวะการเด้งมักเกิดไว
  • ให้โอกาสทำกำไรในช่วงที่ตลาดเกิด Panic หรือ Euphoria ซึ่งเทรดเดอร์ทั่วไปไม่กล้าเข้า
  • เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ในตลาดไซด์เวย์ เพราะหาจุดกลับตัวได้บ่อย
  • ช่วยให้คุณเป็น “Contrarian Trader” ที่ไม่ตามฝูงชน และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
  • หากฝึกฝนจนชำนาญ จะเข้าใจจังหวะราคาที่ไม่ค่อยมีคนเห็น และเก็บกำไรจากจุดที่คนอื่นหลีกเลี่ยง
  • หากเข้าตลาดเร็วเกินไปก่อนเกิดสัญญาณกลับตัวจริง อาจ “ติดดอย” และรอการแก้พอร์ตนาน
  • ต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคอย่างแม่นยำ เช่น RSI, Fibonacci, Divergence เพื่อคาดเดาจุดกลับตัว
  • ต้องมีแผนจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน โดยเฉพาะการตั้ง Stop Loss ที่แน่นอน
  • ไม่เหมาะกับมือใหม่ที่ยังอ่านเทรนด์ไม่คล่อง เพราะอาจสับสนระหว่างการย่อราคากับการกลับตัวจริง
  • อารมณ์มีผลอย่างมาก เพราะต้องกล้าตัดสินใจสวนตลาดในช่วงที่คนส่วนใหญ่ “กลัว” หรือ “โลภ” สุดขีด
  • ความเสี่ยงของการขาดทุนสูงมากหากเข้าเทรดแบบไม่มีแผนหรือหวังดวง
  • ต้องติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดและมีวินัยสูงในการเข้า-ออก ไม่สามารถ “ปล่อยรัน” แบบเทรดตามเทรนด์ได้

เปรียบเทียบแบบหมัดต่อหมัด

การตัดสินใจว่าจะเลือกเทรดตามเทรนด์หรือสวนเทรนด์นั้น คล้ายกับการเลือกอาวุธประจำกายของนักรบในสนามรบ คุณต้องรู้ว่าตัวเองถนัดแบบไหน เข้าใจสภาพแวดล้อมของตลาด และมีเป้าหมายแบบใดในการเทรด ในมุมของ “ความเสี่ยง” เทรดตามเทรนด์จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะคุณกำลังเดินไปพร้อมกับทิศทางหลักของราคา ไม่ฝืน ไม่ต้าน และสามารถตั้งจุดตัดขาดทุนได้ง่ายกว่า ในขณะที่การเทรดสวนเทรนด์แม้จะให้โอกาสทำกำไรมากในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่หากคุณเข้าเร็วหรือวิเคราะห์ผิด อาจนำไปสู่การขาดทุนแบบเจ็บแสบได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเมื่อราคาไม่กลับตัวตามที่คาดไว้

ในแง่ของ “โอกาสทำกำไร” ทั้งสองกลยุทธ์มีศักยภาพของตัวเอง เทรดตามเทรนด์ให้ผลตอบแทนอย่างมั่นคงต่อเนื่อง เหมาะกับคนที่ต้องการสะสมกำไรระยะยาว และไม่ชอบความเสี่ยงแรง ส่วนเทรดสวนเทรนด์ ถ้าคุณจับจังหวะได้ถูกต้อง ก็สามารถทำเงินได้มากในเวลาอันสั้น กลยุทธ์นี้จึงตอบโจทย์คนที่ชอบเทรดแบบรวดเร็ว จบไว และพร้อมลุยในช่วงที่คนอื่นกลัว ถึงแม้จะแลกมาด้วยความตึงเครียดในการตัดสินใจที่มากกว่า แต่ถ้าทำได้ถูกจังหวะ ผลลัพธ์ก็คุ้มค่ามากเช่นกัน

เรื่อง “ความยาก” และ “ทักษะ” ที่ต้องใช้ ก็เป็นอีกจุดที่แยกทั้งสองแนวทางอย่างชัดเจน เทรดตามเทรนด์เหมาะกับมือใหม่ เพราะง่ายต่อการวิเคราะห์ แค่ดูแนวโน้มหลักให้ชัดเจน แล้วค่อยเข้าเมื่อราคามีจังหวะพักหรือเบรกเอาท์ ไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อนมาก ในขณะที่เทรดสวนเทรนด์ต้องอาศัยประสบการณ์สูง และทักษะทางเทคนิคระดับลึก เช่น การวิเคราะห์โซนกลับตัว การดู Divergence หรือการใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาแนวต้าน-แนวรับเชิงเทคนิคให้แม่นยำ

สุดท้ายในเรื่องของ “ความถี่ในการเข้าเทรด” ก็มีผลต่อการเลือกกลยุทธ์เช่นกัน เทรดตามเทรนด์จะเน้นเข้าเทรดเฉพาะช่วงที่เทรนด์เดินหน้าชัดเจน ทำให้จำนวนครั้งในการเทรดไม่บ่อยนัก แต่สามารถถือออเดอร์ได้ยาวนาน ส่วนเทรดสวนเทรนด์จะเน้นการเข้าออกไวในจังหวะเด้งหรือกลับตัวระยะสั้น จึงต้องเทรดบ่อยและติดตามตลาดใกล้ชิด หากคุณเป็นคนที่ชอบจังหวะไว มีเวลาเฝ้าหน้าจอ และวิเคราะห์แม่น เทรดสวนเทรนด์คือสนามของคุณ แต่ถ้าคุณต้องการความนิ่ง มั่นคง และรอจังหวะที่ปลอดภัยกว่า เทรดตามเทรนด์คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์กว่าแน่นอน

สัญญาณที่บอกว่า “เทรนด์มาแล้ว!”

สัญญาณ คำอธิบาย สิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ควรระวัง ระดับความน่าเชื่อถือ
ราคา Break แนวรับ/แนวต้าน เมื่อตลาดทะลุแนวสำคัญ เป็นสัญญาณว่าเทรนด์อาจเริ่มต้นขึ้น พิจารณาเข้าเทรดในทิศทางของการ Break ระวัง False Breakout ที่อาจเกิดจากข่าวหรือแรงเทขายระยะสั้น สูง ถ้ามี Volume สนับสนุน
Volume เพิ่มสูงขึ้น ปริมาณการซื้อขายมากกว่าปกติ มักเกิดในช่วงเริ่มเทรนด์ สังเกตว่า Volume สอดคล้องกับทิศทางราคาหรือไม่ Volume อาจเพิ่มเพราะความผันผวน ไม่ใช่เพราะเทรนด์เสมอไป ปานกลางถึงสูง
MACD ตัดเส้น Signal สัญญาณ MACD ตัดขึ้นหรือลง แสดงการเปลี่ยนแนวโน้ม ใช้ร่วมกับแนวรับ-แนวต้านเพื่อยืนยันการเข้าเทรด MACD ล่าช้ากว่าราคา ควรใช้ร่วมกับสัญญาณอื่นเพื่อความแม่นยำ ปานกลาง
RSI เบรกระดับ 50 RSI ข้ามเส้น 50 ขึ้นหรือลง บ่งชี้แรงซื้อ/ขายเริ่มควบคุมตลาด ใช้เป็นจุดยืนยันเพิ่มเติมว่าราคาเข้าสู่ช่วงเทรนด์ ระวัง Overbought/Oversold โดยไม่ดูภาพรวมของตลาด ปานกลาง
ราคา Pullback แล้วเด้ง ราคาย่อตัวจากแนวโน้มหลักแล้วเด้งกลับ เป็นจังหวะเข้าที่ดี เข้าเทรดเมื่อราคากลับขึ้นในทิศทางเดิม พร้อมตั้ง Stop Loss อย่าเข้าเมื่อย่อยังไม่จบ อาจย่อลึกกว่าที่คิด สูง ถ้าคู่กับแนวรับ/แนวต้าน

เทคนิคการเทรดตามเทรนด์แบบมือโปร

ถ้าอยากเทรดตามเทรนด์ให้ได้แบบมืออาชีพจริง ๆ มันไม่ใช่แค่ “เข้าเทรดตามเทรนด์” อย่างเดียว แต่ต้องรู้จักจังหวะ รู้วิธีวางแผน และรู้จักควบคุมความเสี่ยงอย่างมีระบบด้วย ซึ่งเทคนิคทั้งหมดนี้คือสิ่งที่โปรใช้กันจริง ๆ ในสนามเทรดจริง ลองดูว่าเขาทำอะไรกันบ้างแบบละเอียดทุกขั้นตอน

  • รอให้ราคาย่อลงมาก่อนแล้วค่อยเข้าเทรด ไม่ใช่กระโดดตามราคาที่พุ่งไปแล้ว เพราะบ่อยครั้งที่ราคาจะวิ่งกลับมาทดสอบเส้นแนวโน้มหรือ EMA (Exponential Moving Average) แล้วดีดตัวต่อ ถ้าคุณเข้าตอน pullback ได้ จะได้ราคาดีและมี Stop Loss ที่กระชับ
  • ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาโซนราคาสำคัญ เช่น ระดับ 38.2%, 50% หรือ 61.8% ซึ่งมักเป็นจุดที่ราคาเด้งกลับจากการย่อตัวในเทรนด์ขาขึ้น หรือเด้งลงในเทรนด์ขาลง เป็นเทคนิคที่แม่นมากถ้าใช่ร่วมกับแนวรับ-แนวต้านแบบคลาสสิก
  • วาง Stop Loss ไว้อย่างมีกลยุทธ์ เช่น ถ้าเทรดขาขึ้น ก็ควรตั้งไว้ต่ำกว่าแนวรับล่าสุดหรือเส้น EMA เพื่อป้องกันกรณีที่ราคาเบรกลงแรง ๆ แล้วลากพอร์ตเสียหาย ซึ่งสำคัญมากโดยเฉพาะเวลาตลาดกลับตัวแบบรุนแรง
  • จำกัดความเสี่ยงในแต่ละออเดอร์ไว้ไม่เกิน 2% ของพอร์ตทั้งหมด เช่น ถ้าคุณมีเงินทุน 100,000 บาท คุณไม่ควรเสียเกิน 2,000 บาทต่อครั้ง นี่เป็นหลักการบริหารเงินของมือโปรที่ช่วยให้อยู่รอดในเกมนี้ได้ยาวนาน
  • อย่าลืมดูภาพใหญ่เสมอ อย่าหลงไปกับเทรนด์ย่อยหรือแรงสะบัดระยะสั้น เทรดเดอร์มืออาชีพจะดูกราฟหลาย Timeframe เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มหลักยังคงอยู่ และจะไม่โดนหลอกด้วยการเคลื่อนไหวชั่วคราว
  • เพิ่มพอร์ตแบบค่อยเป็นค่อยไปเมื่อเทรนด์แข็งแรงขึ้น เช่น เทรดเดอร์บางคนจะใช้เทคนิค “Pyramiding” โดยเข้าไม้เพิ่มเฉพาะเมื่อราคาทำ New High (ในเทรนด์ขาขึ้น) เพื่อขยายกำไร แต่ต้องแน่ใจว่าการเข้าเพิ่มยังอยู่ในกรอบความเสี่ยงที่วางไว้
  • หมั่นบันทึกผลการเทรดและวิเคราะห์ว่าเข้าถูกจังหวะหรือไม่ เพราะแม้คุณจะเทรดตามเทรนด์ แต่ถ้าเข้าผิดจุด หรือไม่มีวินัย ก็อาจขาดทุนได้เหมือนกัน
  • ที่สำคัญที่สุดคือ “ใจต้องนิ่ง” เทรดตามเทรนด์ไม่ใช่เรื่องของโชค แต่คือเรื่องของวินัย ความเข้าใจ และการรอจังหวะที่ใช่จริง ๆ มือโปรเขาไม่วิ่งไล่ราคา เขานั่งรอเหมือนนักล่า จังหวะมาปุ๊บ ยิงทันที นั่นแหละสไตล์ของคนที่อยู่ในตลาดได้อย่างยาวนานและยั่งยืน

เทคนิคการเทรดสวนเทรนด์แบบแชมป์โลก

การเทรดสวนเทรนด์อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ท้าทายและเสี่ยง แต่ถ้าคุณสามารถจับจังหวะกลับตัวได้อย่างแม่นยำ มันก็สามารถทำกำไรได้มหาศาล การที่จะเทรดสวนเทรนด์ให้ได้ผล ต้องอาศัยความละเอียดในการสังเกตสัญญาณและใช้เครื่องมือที่ช่วยยืนยันการกลับตัวของราคา การเข้าใจพฤติกรรมของตลาดและการรอจังหวะอย่างรอบคอบเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มือโปรหลายคนสามารถทำกำไรจากการสวนเทรนด์ได้

หนึ่งในเทคนิคที่ใช้บ่อยในการจับจังหวะสวนเทรนด์คือการใช้ RSI (Relative Strength Index) เพื่อดูว่าเมื่อไหร่ราคาถึงจุด Overbought หรือ Oversold หาก RSI อยู่ในโซนที่เกิน 70 หรือ 30 แสดงว่าราคานั้นมีการซื้อหรือขายเกินไปแล้ว และอาจเกิดการย้อนกลับในทิศทางที่ตรงข้ามได้ นอกจากนี้ การดู Divergence ระหว่างราคากับอินดิเคเตอร์ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เรารู้ว่าแนวโน้มกำลังจะกลับตัวแล้ว หากราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ก็อาจเป็นสัญญาณว่าความแรงของแนวโน้มเริ่มลดลง

การไม่รีบร้อนเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญในการเทรดสวนเทรนด์ ถึงแม้ราคาจะเข้ามาใกล้จุดกลับตัวแล้ว การรีบเข้าเทรดอาจทำให้เราพลาดโอกาสหรือเข้าไปในช่วงที่ราคายังไม่พร้อมที่จะย้อนกลับ การรอให้เกิด แท่งกลับตัว เช่น Pin Bar หรือ Engulfing Bar เป็นวิธีที่ช่วยให้เรามั่นใจว่าแนวโน้มกำลังจะกลับตัวจริง ๆ โดยการเกิดแท่งกลับตัวเหล่านี้มักจะบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาดในระยะสั้น

สุดท้ายก่อนที่จะตัดสินใจเข้าเทรด ควรยืนยันการกลับตัวด้วย Volume ที่ลดลง ก่อนที่ราคาจะกลับทิศ วิธีนี้จะช่วยให้เราเชื่อมั่นได้มากขึ้นว่าการกลับตัวของราคานั้นเป็นการกลับตัวที่แท้จริงและไม่ใช่การสะบัดราคาชั่วคราว การดู Volume ร่วมกับสัญญาณอื่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าเทรดในช่วงที่ตลาดยังไม่พร้อมที่จะกลับตัว

ตัวอย่างสถานการณ์จริง: เทรดตามเทรนด์ใน Bitcoin

เวลา ราคาของ Bitcoin จุดเข้า (ทดสอบ EMA 50) กลยุทธ์ ผลลัพธ์
จุดเข้า 1 $20,000 ราคาแกว่งตัวใกล้ EMA 50 ซื้อเมื่อราคาทดสอบเส้น EMA 50 ซื้อที่ $20,000
จุดทดสอบ 1 $30,000 EMA 50 ยังคงรองรับราคา รอให้ราคาวิ่งตามเทรนด์
จุดทดสอบ 2 $45,000 EMA 50 ยังคงรองรับราคา รอการปรับฐานก่อนจะเข้าเพิ่ม
จุดออก $60,000 ราคาใกล้แนวต้าน ขายเมื่อราคาใกล้ถึงแนวต้านหรือเป้าหมาย ขายที่ $60,000

ตัวอย่างสถานการณ์จริง: เทรดสวนเทรนด์ในตลาดหุ้น

การเทรดสวนเทรนด์ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกหนักอาจดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยง แต่หากเข้าใจกลยุทธ์และสามารถจับจังหวะกลับตัวได้ การเทรดสวนเทรนด์สามารถเป็นโอกาสที่ทำกำไรได้มหาศาลในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นบางตัวลดราคาลงอย่างรุนแรงในช่วงตลาดขาลง (Bear Market) ซึ่งเมื่อเราสามารถซื้อในราคาต่ำแล้วรอการกลับตัวของตลาด มันสามารถให้ผลตอบแทนที่สูง

  • สังเกตการตกลงของราคา: เมื่อราคาของหุ้นตกลงอย่างรุนแรงและทำให้หุ้นหลายตัวลดลงไปถึง 50-70% นี่คือช่วงที่เกิดการขายที่มากเกินไป ทำให้บางหุ้นราคาถูกเกินไปและน่าลงทุน
  • ใช้ RSI เพื่อหาจุดต่ำสุด: หาก RSI ของหุ้นนั้นต่ำกว่า 30 แสดงว่าเป็นจุดที่ราคาของหุ้นอยู่ในโซน Oversold ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจมีการกลับตัวของราคาหรือการฟื้นตัวในอนาคต
  • สัญญาณกลับตัวจากแท่งเทียน: ควรสังเกตสัญญาณการกลับตัวจากกราฟแท่งเทียน เช่น Pin Bar หรือ Engulfing Bar เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มกำลังเปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น
  • การใช้ Volume: เมื่อราคาลดลงและเกิดสัญญาณกลับตัว ควรสังเกตว่า Volume เริ่มลดลงหรือไม่ นี่คือสัญญาณว่าความแรงของการลงราคากำลังลดลงและตลาดอาจเริ่มฟื้นตัว
  • การซื้อในราคาถูก: เมื่อคุณเข้าเทรดในจังหวะนี้ จะสามารถซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าความจริงและมีโอกาสทำกำไรเมื่อราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวในระยะยาว

จิตวิทยาของการเทรดตามเทรนด์ vs สวนเทรนด์

การเทรดตามเทรนด์และการเทรดสวนเทรนด์นั้นต่างกันไม่เพียงแค่กลยุทธ์หรือเทคนิคที่ใช้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของนักเทรดอย่างมาก การเทรดตามเทรนด์นั้นเน้นไปที่การมีความอดทนและยอมให้ตลาดเป็นตัวกำหนดทิศทาง การรอตลาดให้วิ่งไปในทิศทางที่ถูกต้องและไม่รีบขายในช่วงที่ตลาดกำลังมีกำไรนั้นต้องใช้จิตวิทยาที่มั่นคง การที่ต้องมองเห็นโอกาสในระยะยาวและหลีกเลี่ยงการตกหลุมพรางของการตัดสินใจอย่างเร่งรีบเป็นสิ่งที่นักเทรดที่ประสบความสำเร็จต้องมี ความอดทนในการรอให้เทรนด์ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นทักษะที่สำคัญในการเทรดตามเทรนด์

ในทางกลับกัน การเทรดสวนเทรนด์นั้นเกี่ยวข้องกับการมีความกล้าในการตัดสินใจ ฝืนกับการเคลื่อนไหวของตลาดที่กำลังตกลงหรือตามแรงขาย ความกล้าที่จะเชื่อในการวิเคราะห์ของตัวเองและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ถือเป็นหัวใจหลักในการเทรดสวนเทรนด์ การที่ตลาดอาจจะยังไม่เห็นการกลับตัวในทันทีทำให้หลายคนอาจรู้สึกกังวลหรือตัดสินใจผิดพลาด แต่นักเทรดสวนเทรนด์ที่มีความมั่นใจจะสามารถสร้างโอกาสจากการกลับตัวของตลาดได้

การเทรดทั้งสองแบบต้องการทักษะทางจิตใจที่แตกต่างกัน เทรดตามเทรนด์ต้องการการควบคุมอารมณ์และการรอคอยอย่างมีวินัย ในขณะที่การเทรดสวนเทรนด์ต้องใช้ความกล้าและการตัดสินใจที่ไม่กลัวที่จะทำตามแนวทางของตัวเอง ถึงแม้ว่าตลาดจะไม่ได้ให้ผลลัพธ์ทันที การเข้าใจจิตวิทยาและควบคุมอารมณ์ได้ดีในทั้งสองประเภทของการเทรดนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้การเทรดประสบความสำเร็จได้

ทั้งการเทรดตามเทรนด์และสวนเทรนด์ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง ดังนั้น นักเทรดที่ประสบความสำเร็จต้องเข้าใจและเลือกใช้กลยุทธ์ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจที่ดีในแต่ละช่วงของการเคลื่อนไหวของตลาด

แล้วเราควรเลือกทางไหน?

ลักษณะของการเทรด เหมาะกับคนที่ ข้อดี ข้อเสีย คำแนะนำ
เทรดตามเทรนด์ ชอบความปลอดภัย มีวินัยสูง สร้างกำไรระยะยาว, ไม่ต้องคาดเดามาก อาจพลาดโอกาสในการทำกำไรเร็ว เหมาะกับนักเทรดที่ต้องการความมั่นคง
เทรดสวนเทรนด์ ชอบความท้าทาย กล้าตัดสินใจเอง สามารถทำกำไรได้สูงในช่วงตลาดกลับตัว เสี่ยงสูง, ต้องการการวิเคราะห์ที่ละเอียด เหมาะกับนักเทรดที่ชอบความเสี่ยงและท้าทาย

หรือว่า… จะผสมสองกลยุทธ์นี้เข้าด้วยกันดีล่ะ?

การผสมสองกลยุทธ์เข้าด้วยกันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดหลายคน โดยการใช้ทั้งกลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์และสวนเทรนด์ในเวลาที่เหมาะสม สามารถช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากทั้งสองกลยุทธ์ได้อย่างเต็มที่ ข้อดีของการผสมสองกลยุทธ์คือสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของตลาดได้ดีและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากทั้งการเคลื่อนไหวตามเทรนด์และการกลับตัวของราคา

  • เทรดตามเทรนด์เป็นหลัก: การเทรดตามเทรนด์ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักที่ใช้ เพราะมันช่วยให้คุณอยู่ในทิศทางที่ตลาดกำหนดและมีโอกาสทำกำไรในระยะยาวโดยไม่ต้องคาดเดา
  • สวนเทรนด์ในระยะสั้น: เมื่อราคาของตลาดวิ่งไปไกลจากจุดเริ่มต้นหรือเกิดการเบี่ยงเบนจากเทรนด์หลัก คุณสามารถใช้กลยุทธ์สวนเทรนด์เพื่อเข้าเก็บกำไรจากจุดสวิงและการกลับตัวของตลาด
  • การใช้เครื่องมือสองชุด: การใช้ทั้งสองกลยุทธ์เหมือนกับการมีเครื่องมือสองชุดที่สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ โดยคุณอาจจะใช้เทรดตามเทรนด์ในช่วงที่ตลาดมีทิศทางชัดเจน และสวนเทรนด์ในช่วงที่ตลาดเริ่มมีการย่อลงหรือเกิดจุดกลับตัว
  • การวิเคราะห์สถานการณ์ตลาด: การผสมกลยุทธ์นี้ต้องการการวิเคราะห์ตลาดที่ละเอียดและมีความยืดหยุ่น คุณต้องสามารถแยกแยะได้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรยึดตามเทรนด์และเมื่อไหร่ที่ควรสวนเทรนด์
  • การจัดการความเสี่ยง: การผสมกลยุทธ์ทั้งสองต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้กลยุทธ์สวนเทรนด์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมและการจัดการพอร์ตที่ดีจะช่วยป้องกันความสูญเสียจากการเลือกกลยุทธ์ที่ผิดพลาด