การวิเคราะห์ Market Sentiment และการนำไปใช้

การวิเคราะห์ Market Sentiment และการนำไปใช้

เคยสงสัยมั้ยว่า… ทำไมหุ้นหรือค่าเงินบางตัวถึงขึ้นแรงแบบไม่มีข่าวดี? หรือบางครั้งราคาก็ร่วงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย? คำตอบหนึ่งคือ “Market Sentiment” หรือแปลไทยง่าย ๆ ว่า “ความรู้สึกของตลาด” นี่แหละ คือพลังลึกลับที่ผลักดันราคาให้วิ่งแบบคาดเดาไม่ได้

Market Sentiment คืออะไรแน่ ๆ?

Market Sentiment คือการสะท้อนถึงความรู้สึกและทัศนคติรวมของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ในตลาด ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องอิงกับข้อมูลพื้นฐานหรือปัจจัยทางเศรษฐกิจที่แท้จริงทั้งหมด แต่มันสะท้อนถึงความรู้สึกโดยรวมของผู้เล่นในตลาดนั้น ๆ ว่าเป็น “บวก” หรือ “ลบ” หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ความรู้สึกของตลาด” ในตอนนั้น ๆ นั่นเอง

ความรู้สึกนี้สามารถเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ข่าวสารหรือการคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคต การเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งการตอบสนองจากนักลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ซึ่งตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงจากภาวะที่มีความรู้สึกบวกไปยังลบได้อย่างรวดเร็ว หากเกิดเหตุการณ์หรือข่าวที่มีผลกระทบใหญ่ต่อสินทรัพย์หรือเศรษฐกิจ

เมื่อตลาดอยู่ในภาวะบวก (bullish sentiment) ความรู้สึกของนักลงทุนจะเต็มไปด้วยความมั่นใจในการลงทุน ราคาของสินทรัพย์จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้น เพราะนักลงทุนมั่นใจว่ามูลค่าของสินทรัพย์นั้น ๆ จะเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของตลาดที่ดี ในขณะเดียวกัน หากตลาดอยู่ในภาวะลบ (bearish sentiment) การขายสินทรัพย์จะเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนนำเงินออกจากตลาดเพราะกลัวว่าอนาคตจะมีการลดลงของราคาหรือเกิดวิกฤต

การเข้าใจ Market Sentiment จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำนายทิศทางของตลาด เพราะสามารถช่วยนักลงทุนตัดสินใจได้ว่าในช่วงเวลาใดควรที่จะเข้าสู่ตลาดหรือถอนทุนออก โดยการติดตามพฤติกรรมของตลาดนี้ทำให้นักลงทุนสามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องและหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากความกลัวหรือความโลภเกินไป

ประเภทของ Sentiment ในตลาด

ประเภทของ Sentiment ความหมาย พฤติกรรมของนักลงทุน ตัวอย่างในตลาด ผลกระทบต่อตลาด
Bullish Sentiment (บวก) นักลงทุนคาดว่าราคาจะขึ้น มักเห็นการซื้อเข้าหนัก ๆ เพื่อคาดหวังการเพิ่มขึ้นของราคา ดัชนีหุ้นพุ่ง, ค่าเงินแข็ง, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดี ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มสูงขึ้น
Bearish Sentiment (ลบ) นักลงทุนคาดว่าราคาจะลง พฤติกรรมการเทขายจะเด่นชัด เนื่องจากความกลัวการขาดทุน ข่าวเศรษฐกิจแย่, การขึ้นดอกเบี้ย, ตลาดแดงเถือก ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มลดลง
Neutral Sentiment (กลาง) นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในทิศทาง ไม่มีพฤติกรรมซื้อหรือขายหนัก ๆ มักรอดูสถานการณ์ ตลาดเงียบ ๆ หรือมีความไม่แน่นอน ตลาดอาจมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ชัดเจน
Extreme Bullish Sentiment (บวกสุด ๆ) ความมั่นใจในตลาดสูงมาก นักลงทุนพร้อมที่จะลงทุนหนัก ๆ เพราะมั่นใจว่าจะได้ผลตอบแทนสูง ตลาดหุ้นร้อนแรง, สินค้าโภคภัณฑ์ขาขึ้น ราคาสินทรัพย์พุ่งสูงมากอย่างรวดเร็ว
Extreme Bearish Sentiment (ลบสุด ๆ) นักลงทุนสูญเสียความมั่นใจ เทขายสินทรัพย์อย่างรุนแรงเพื่อลดความเสี่ยง ภาวะวิกฤตการเงิน, ข่าวลือเลวร้าย ตลาดร่วงหนักและอาจเกิดการขาดทุนมหาศาล

สัญญาณที่บอกว่า Sentiment กำลังเปลี่ยน

  • ดัชนี VIX (ดัชนีความกลัว)
    ดัชนี VIX หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ดัชนีความกลัว” เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความผันผวนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ถ้าค่าของ VIX สูงขึ้น แสดงว่าเกิดความไม่แน่นอนในตลาด นักลงทุนกลัวความเสี่ยง และมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตลาด ในทางกลับกัน ถ้าค่าของ VIX ลดลง แสดงว่าความกลัวในตลาดลดลงและมีความมั่นใจมากขึ้น
  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume)
    ปริมาณการซื้อขาย หรือที่เรียกว่า Volume คือจำนวนหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ถูกซื้อขายในช่วงเวลาหนึ่ง หากปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ บ่งชี้ว่าอารมณ์ตลาดกำลังเปลี่ยนแปลง หรืออาจมีการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดจากแรงซื้อหรือแรงขายที่สูงขึ้น การดู Volume ร่วมกับการเคลื่อนไหวของราคาเป็นเครื่องมือที่ดีในการประเมิน Sentiment ของตลาด
  • การไหลของเงินทุน (Fund Flow)
    การติดตามการไหลของเงินทุนในตลาดช่วยให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของ Sentiment ได้ชัดเจน หากเงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้นหรือคริปโต) แสดงว่า Sentiment บวก แต่หากเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เหล่านี้และไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (เช่น พันธบัตรหรือทองคำ) ก็แสดงว่า Sentiment ลบและนักลงทุนกำลังระมัดระวังมากขึ้น
  • ค่าเงินและทองคำ (ที่มักเป็น Safe Haven)
    เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในตลาด หรือในช่วงวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ค่าเงินที่มีความเสถียรเช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ และทองคำมักจะเป็นที่นิยมในการลงทุน เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Haven) การปรับตัวของราคาเหล่านี้มักเป็นสัญญาณเตือนว่า Sentiment ของตลาดกำลังเปลี่ยนจากบวกเป็นลบ
  • โพสต์ใน Social Media และข่าวต่าง ๆ
    Social Media และการพูดถึงข่าวต่าง ๆ ในโลกออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการบ่งชี้ Sentiment ของตลาดในปัจจุบัน สังเกตการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการพูดถึงสินทรัพย์หรือข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญในแพลตฟอร์มอย่าง Twitter, Facebook หรือ Reddit การพูดถึงในเชิงบวกหรือเชิงลบสามารถสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตลาดและความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้
  • ข่าวเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน
    ข่าวเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ย การออกนโยบายการเงิน หรือการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น การเติบโตของ GDP, การว่างงาน หรืออัตราเงินเฟ้อ ล้วนเป็นปัจจัยที่สามารถส่งผลต่อ Sentiment ของตลาดได้ การเปลี่ยนแปลงในทิศทางของข่าวเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน
  • การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield)
    การขึ้นหรือลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสามารถบ่งบอกถึงทิศทางของ Sentiment ในตลาด หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงขึ้นหรือมีการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ก็อาจบ่งชี้ถึงความวิตกกังวลในตลาดการเงิน นักลงทุนอาจเริ่มมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ Sentiment ของตลาดเปลี่ยนไป
  • การเคลื่อนไหวของตลาดสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Assets)
    สังเกตการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น เทรนด์ของสินทรัพย์เหล่านี้สามารถบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงใน Sentiment ของตลาด ถ้าหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงมีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงว่า Sentiment บวก แต่หากเกิดการเทขายอย่างรวดเร็ว ก็อาจแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเป็น Sentiment ลบ
  • การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
    การคาดการณ์และความคิดเห็นของนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินใหญ่ ๆ มักส่งผลกระทบต่อ Sentiment ของตลาด เนื่องจากนักลงทุนหลายคนมักอ้างอิงจากการคาดการณ์เหล่านี้ในการตัดสินใจลงทุน หากนักวิเคราะห์รายใหญ่เริ่มปรับลดประมาณการการเติบโตหรือราคาเป้าหมายลง มักจะทำให้ตลาดตกใจและเกิดการเปลี่ยนแปลงของ Sentiment
  • การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน
    น้ำมันเป็นสินค้าพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรมและตลาดการเงิน การปรับขึ้นหรือลงของราคาน้ำมันสามารถเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของ Sentiment ของตลาดการเงิน หากราคาน้ำมันขึ้นสูง นักลงทุนอาจกังวลถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเชิงลบ

วิธีวัด Market Sentiment แบบนักเทรดมืออาชีพ

การวัด Market Sentiment เป็นเครื่องมือสำคัญที่นักเทรดมืออาชีพใช้ในการตัดสินใจลงทุนในตลาดที่มีความผันผวนสูง การเลือกใช้เครื่องมือในการวัดความรู้สึกของตลาดนั้นสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ระบุทิศทางของตลาดได้อย่างแม่นยำขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือข้อมูลทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เครื่องมือบางตัวสามารถบอกได้ว่าในช่วงเวลานั้น ๆ ตลาดกำลังมีความรู้สึกเชิงบวกหรือเชิงลบ และสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เราคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้

หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการวัด Market Sentiment คือ VIX Index หรือที่เรียกกันว่า “ดัชนีความกลัว” ซึ่งช่วยวัดความวิตกกังวลในตลาดหุ้นอเมริกา โดยดัชนีนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อมีความไม่แน่นอนในตลาด และจะลดลงเมื่อความเชื่อมั่นในตลาดกลับมาดีขึ้น ดังนั้นหาก VIX ขึ้นสูง จะเป็นสัญญาณว่า Sentiment ของตลาดมีความกลัวและไม่มั่นคง ในทางกลับกัน หาก VIX ลดลง แสดงว่าความมั่นใจในตลาดเพิ่มขึ้นและราคาอาจจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ดีขึ้น

อีกเครื่องมือหนึ่งที่นักเทรดมืออาชีพใช้คือ Put/Call Ratio ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างจำนวนสัญญา Put (สิทธิ์ขาย) กับสัญญา Call (สิทธิ์ซื้อ) ในตลาดออปชั่น หากค่า Put/Call Ratio สูง จะหมายถึงว่าเทรดเดอร์มองว่าตลาดจะลงและมีความกลัวที่จะขาดทุน แต่ถ้า ratio นี้ต่ำ แสดงว่าเทรดเดอร์มองว่าตลาดมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีหรือบวก

อีกเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดคือ Commitment of Traders (COT) ซึ่งเป็นรายงานที่เผยแพร่โดย Commodity Futures Trading Commission (CFTC) ที่แสดงถึงการวางตำแหน่งของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดฟิวเจอร์ส เช่น การเปิดตำแหน่ง long หรือ short ในฟอเร็กซ์หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งข้อมูลนี้สามารถช่วยให้เทรดเดอร์ทราบถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดจากมุมมองของผู้เล่นรายใหญ่ และสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจในการซื้อขายได้

สุดท้ายนี้ นักเทรดมืออาชีพยังใช้ Social Media Sentiment ในการวิเคราะห์ทิศทางของตลาด โดยการนำข้อมูลจากโพสต์ต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียมาใช้ในการประเมินความคิดเห็นของผู้คนในวงกว้าง ในปัจจุบันนี้มีเครื่องมือที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์เนื้อหาจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถช่วยให้เทรดเดอร์รู้ถึงกระแสและความรู้สึกของตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การติดตามกระแสการพูดถึงสินทรัพย์ที่กำลังได้รับความสนใจในโซเชียลมีเดียสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ปรับกลยุทธ์และตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น

วิเคราะห์ Sentiment จากกราฟราคาได้ไหม?

เครื่องมือในการวิเคราะห์ ความหมาย วิธีการใช้ สัญญาณที่ควรระวัง ประโยชน์ในตลาด
RSI (Relative Strength Index) ตัวชี้วัดที่ใช้วัดความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา ใช้ในการตรวจสอบว่าราคามีการซื้อเกินหรือขายเกิน หาก RSI ขึ้นเกิน 70 หรือร่วงต่ำกว่า 30 แสดงว่าอารมณ์ตลาดตึง ช่วยระบุภาวะตลาด Overbought หรือ Oversold
MACD Divergence การเบี่ยงเบนของ MACD ที่แสดงความแตกต่างระหว่างราคาและการเคลื่อนไหวของค่า MACD ใช้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของแรงขับเคลื่อนในตลาด หากมีการเบี่ยงเบนของ MACD กับราคา แสดงว่าแรงขับเคลื่อนกำลังเปลี่ยนทิศทาง ใช้เพื่อจับการพลิกกลับของแนวโน้ม
Volume Analysis การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อดูพฤติกรรมตลาด ใช้ดูว่าปริมาณการซื้อขายสูงหรือต่ำกว่าปกติ หากปริมาณการซื้อขายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ แสดงว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงในตลาด ช่วยระบุการเคลื่อนไหวที่สำคัญในตลาด
Support and Resistance Levels การวิเคราะห์ระดับราคาที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน ใช้ในการหาจุดที่ราคามักจะหยุดหรือเปลี่ยนทิศทาง หากราคาผ่านแนวรับหรือแนวต้านได้ จะเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงใน Sentiment ช่วยคาดการณ์การเคลื่อนไหวในระยะสั้น
Candlestick Patterns การศึกษารูปแบบของแท่งเทียนเพื่อดูสัญญาณการกลับตัว ใช้ศึกษาการเกิดรูปแบบของแท่งเทียนที่มีความหมายเฉพาะ เช่น รูปแบบ Doji, Engulfing หรือ Hammer ที่อาจบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของ Sentiment ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางตลาดจากการบ่งชี้สัญญาณการกลับตัว

นักลงทุนสายไหนเหมาะกับการใช้ Market Sentiment?

  • เทรดเดอร์ระยะสั้น (Short-Term Traders)
    • เทรดเดอร์สายนี้มักเน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น โดยการใช้ Market Sentiment เป็นเครื่องมือสำคัญในการจับจังหวะการเข้าออกการเทรด
    • พวกเขาจะใช้ข้อมูลจากข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกของตลาด เช่น ข่าวการเมือง หรือเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ
    • การจับอารมณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงจะช่วยให้เทรดเดอร์ระยะสั้นสามารถตัดสินใจเข้าหรือออกจากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่เหมาะสม
  • Swing Trader
    • Swing Trader ใช้การวิเคราะห์ Sentiment เพื่อหาจุดที่ตลาดจะพลิกกลับ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถจับรอบการเทรดได้แม่นยำมากขึ้น
    • การใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ Sentiment ช่วยให้พวกเขารู้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ซึ่งเหมาะสมกับการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวในระยะกลาง
    • การรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของ Sentiment ช่วยให้ Swing Trader สามารถตั้งเป้าหมายและออกจากตลาดได้อย่างเหมาะสม โดยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
  • นักลงทุนระยะยาว (Long-Term Investors)
    • นักลงทุนระยะยาวมักใช้ Market Sentiment เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น
    • พวกเขาจะใช้ข้อมูลเกี่ยวกับ Sentiment เพื่อไม่ให้การตัดสินใจลงทุนของพวกเขาถูกกระทบจากความผันผวนของตลาดหรือความกลัวที่เกิดขึ้นในช่วงตลาดตกต่ำ
    • การเข้าใจ Sentiment ช่วยให้นักลงทุนระยะยาวสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ต้องตกอยู่ในความรู้สึกตื่นตระหนกจากการลดลงของราคาชั่วคราว
  • นักลงทุนที่เน้นการเทรดออปชั่น (Options Traders)
    • นักลงทุนที่เทรดออปชั่นมักจะพึ่งพา Market Sentiment ในการคาดการณ์ทิศทางของราคาสินทรัพย์ที่ต้องการซื้อขาย
    • พวกเขาจะใช้ Sentiment เพื่อเลือกตำแหน่งการเปิดสัญญา Call หรือ Put เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
    • การวิเคราะห์ Sentiment จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาได้แม่นยำขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนในออปชั่น
  • นักลงทุนที่เน้นการลงทุนในฟอเร็กซ์ (Forex Traders)
    • นักลงทุนฟอเร็กซ์มักใช้ Market Sentiment เพื่อประเมินทิศทางของค่าเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์หรือข่าวเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อตลาดฟอเร็กซ์
    • พวกเขาจะใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์ Sentiment เพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การเลือกคู่สกุลเงินที่มีแนวโน้มที่ดีในช่วงนั้น
    • การเข้าใจ Sentiment ของตลาดฟอเร็กซ์ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจซื้อหรือขายได้ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของค่าเงิน
  • นักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Investors)
    • นักลงทุนประเภทนี้มักจะใช้ Market Sentiment เพื่อมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น ทองคำ หรือพันธบัตรรัฐบาลในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
    • การเข้าใจ Sentiment ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ว่าเมื่อไหร่ที่ตลาดมีความเสี่ยงสูงและควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
    • นักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัยจะใช้ข้อมูลเกี่ยวกับ Sentiment เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่ผันผวน

ตัวอย่างการใช้ Sentiment ในการเทรดจริง

ในช่วงปี 2020 ที่เกิดวิกฤต COVID-19 ตลาดการเงินทั่วโลกประสบปัญหาความผันผวนอย่างหนัก เนื่องจากเกิดความกลัวและไม่มั่นคงในเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้หลายคนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มักถือว่าเป็น “Safe Haven” เช่น ทองคำ ตลาดทองคำในช่วงนั้นได้รับ Sentiment บวกอย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าทองคำจะเป็นแหล่งเก็บมูลค่าที่ปลอดภัยจากความผันผวนทางการเงิน ราคาทองคำจึงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำและตลาดการเงินตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน แต่การลงทุนในทองคำกลับได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากความเชื่อมั่นในสินทรัพย์นี้ในช่วงเวลาวิกฤตที่ความเสี่ยงสูงนี้

ในอีกกรณีหนึ่ง, กลุ่ม Reddit ชื่อ “WallStreetBets” ได้สร้าง Sentiment ที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น GameStop ในปี 2021 โดยการพูดถึงหุ้น GameStop ในฟอรั่มออนไลน์อย่างรุนแรง การรวมตัวของนักลงทุนจากกลุ่ม Reddit ได้ผลักดันราคาหุ้น GameStop ขึ้นไปอย่างรวดเร็วแม้ว่าในตอนแรกนักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์จะมองว่าหุ้นนี้มีมูลค่าต่ำ การสร้าง Sentiment ที่มุ่งไปในทางบวกทำให้เกิดการ “Short Squeeze” ซึ่งนักลงทุนที่ขายหุ้นตัวนี้ในรูปแบบการ “Short” ต้องซื้อหุ้นคืนในราคาที่สูงขึ้นเพื่อป้องกันการขาดทุน ทำให้ราคาหุ้น GameStop พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ Market Sentiment ในการเทรดที่เกิดจากการรวมตัวกันของนักลงทุนในสังคมออนไลน์เพื่อผลักดันทิศทางของตลาด

กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า Sentiment สามารถถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มคนจำนวนมากผ่านการพูดคุยและการแชร์ข้อมูลที่มีผลต่อมุมมองของนักลงทุนคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงวิกฤตหรือจากการเชื่อมั่นในหุ้นที่มีแนวโน้มจะมีการปรับตัวสูงขึ้น การใช้ Sentiment ในการเทรดจึงไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับข้อมูลพื้นฐานหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเข้าใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของนักลงทุนที่สามารถส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ได้อย่างมาก

ในกรณีของตลาดทองคำในช่วง COVID-19 และหุ้น GameStop ในช่วงที่เกิดการ Short Squeeze การใช้ Market Sentiment ไม่เพียงแต่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาได้ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจลงทุนที่มีผลกระทบมากต่อตลาด เมื่อความรู้สึกของนักลงทุนเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวของราคาก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญ

Sentiment กับข่าว: ใครเป็นตัวแปรหลัก?

ปัจจัย ความหมาย ตัวอย่างข่าว ผลกระทบจากข่าว การตีความของตลาด
ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจ เช่น ดัชนี GDP, การขึ้นดอกเบี้ย, หรือข้อมูลการจ้างงาน ข่าวว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย หากตลาดมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะยาวนานและหนัก ตลาดจะมองเป็น Bearish ถ้าตลาดเชื่อว่าจะขึ้นแค่ครั้งเดียวหรือเบา ๆ อาจมองเป็น Bullish
ข่าวทางการเมือง ข่าวเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลหรือสถานการณ์ทางการเมือง ข่าวการเลือกตั้งหรือการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล หากมีความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจสร้างความกลัวในตลาด ตลาดอาจตีความเป็นลบหากเกิดความไม่แน่นอน
ข่าวเกี่ยวกับบริษัท ข่าวที่เกี่ยวข้องกับผลประกอบการของบริษัทหรือการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ข่าวผลประกอบการบริษัทใหญ่ไม่ดี หากผลประกอบการแย่ นักลงทุนอาจขายหุ้นของบริษัทนั้น หากบริษัทอธิบายว่าจะฟื้นตัวได้เร็ว ตลาดอาจกลับมามองเป็นบวก
ข่าวจากตลาดการเงิน ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในตลาดการเงินหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ข่าวราคาน้ำมันขึ้นหรือดิ่งลง ข่าวเกี่ยวกับการขึ้นหรือลงของราคาน้ำมันสามารถส่งผลต่อความรู้สึกของตลาด ถ้าราคาน้ำมันขึ้น ตลาดอาจมองเป็นบวกสำหรับตลาดหุ้นบางแห่ง
ข่าวเกี่ยวกับการวิจัยหรือการพัฒนา ข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อบริษัทหรืออุตสาหกรรม ข่าวการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่บริษัทเปิดตัว หากข่าวนั้นเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับดี ตลาดอาจมองเป็น Bullish ตลาดอาจมองว่าเทคโนโลยีใหม่จะสร้างโอกาสเติบโต

เทคนิคผสม: ใช้ Sentiment คู่กับปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคอล

การวิเคราะห์ตลาดในปัจจุบันไม่ควรใช้แค่ Sentiment หรือแค่ปัจจัยพื้นฐาน หรือแค่การวิเคราะห์ทางเทคนิคเท่านั้น เพราะแต่ละตัวแปรสามารถหลอกลวงได้ ดังนั้น การใช้เทคนิคผสมที่รวมทั้งสามองค์ประกอบนี้จะช่วยให้เรามีการตัดสินใจที่แม่นยำและรอบคอบมากขึ้น ในการพิจารณาทั้ง Sentiment, ปัจจัยพื้นฐาน และเทคนิคอล

  • ปัจจัยพื้นฐาน
    • บทบาท: ปัจจัยพื้นฐานช่วยให้เราเห็นมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ เช่น บริษัทหรือประเทศต่าง ๆ ซึ่งทำให้เราเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจหรือการเงินโดยรวมได้ดีขึ้น
    • ควรเช็คอะไร?:
      • งบการเงินของบริษัท
      • ข่าวเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการเติบโตหรือการหดตัวของตลาด เช่น GDP, การจ้างงาน, หรือการเปลี่ยนแปลงในนโยบายรัฐบาล
      • อัตราดอกเบี้ยและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของมันในระดับต่าง ๆ
    • เทคนิคอล
      • บทบาท: การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยเราประเมินจังหวะการเข้าและออกจากตลาด ผ่านเครื่องมือและกราฟต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์กราฟราคา
      • ควรเช็คอะไร?:
        • Trendline เพื่อดูทิศทางของราคาตลาด
        • Indicators ที่ช่วยในการคาดการณ์ทิศทางตลาด เช่น RSI, MACD, หรือ Moving Averages
        • รูปแบบของกราฟที่แสดงสัญญาณกลับตัวหรือความต่อเนื่องของราคา
      • Sentiment
        • บทบาท: Sentiment คืออารมณ์ตลาด ซึ่งบอกให้เราทราบว่าในขณะนั้นนักลงทุนมองตลาดในทิศทางใด เช่น ตลาดบวกหรือหรือลบ
        • ควรเช็คอะไร?:
          • ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่สูงผิดปกติ อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
          • ดัชนี VIX (Volatility Index) ที่สะท้อนความกลัวในตลาด
          • ข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลง Sentiment เช่น ข่าวการขึ้นดอกเบี้ย, การเลือกตั้ง หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีผลต่อความเชื่อมั่น