อิทธิพลของราคาน้ำมันต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน

อิทธิพลของราคาน้ำมันต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน

เคยสงสัยไหมว่าแค่ราคาน้ำมันขึ้นหรือลง มันเกี่ยวอะไรกับเงินในกระเป๋าเรา หรือแม้แต่ค่าเงินของทั้งประเทศ? เอาเข้าจริงๆ น้ำมันไม่ได้แค่ทำให้รถวิ่งหรือเครื่องบินขึ้นบินได้ แต่มันยังเป็น “หัวใจ” ของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกับประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก ลองนึกภาพว่าถ้าคุณขายของแล้วอยู่ดีๆ ราคาของที่คุณขายเพิ่มขึ้น สินค้าคุณมีค่ามากขึ้น คุณได้เงินเยอะขึ้น แน่นอนว่าสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น นี่แหละคือสิ่งที่เกิดกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเช่นกัน

ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมีใครบ้าง?

ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก เพราะการผลิตและส่งออกน้ำมันเป็นแหล่งรายได้หลักที่มีผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีการพึ่งพาการส่งออกน้ำมันอย่างมาก ซาอุดิอาระเบีย, รัสเซีย, แคนาดา, นอร์เวย์ และอิรัก คือหนึ่งในประเทศเหล่านี้ที่รายได้จากน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและค่าเงินของประเทศ

ซาอุดิอาระเบียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีรายได้จากน้ำมันมากกว่า 70% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ รัฐบาลซาอุดิอาระเบียจึงมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการผลิตน้ำมันระดับโลกผ่าน OPEC ซึ่งการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงิน Riyal (SAR) ของประเทศ

รัสเซียเป็นอีกประเทศที่พึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเงินรูเบิล (RUB) ของรัสเซียมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันที่สูงสามารถเสริมสร้างรายได้เข้าประเทศ ทำให้เศรษฐกิจและค่าเงินแข็งค่าขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันตกก็ทำให้ค่าเงินรูเบิลอ่อนตัวตาม

แคนาดาเป็นประเทศที่มีการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก โดยเฉพาะจากทรัพยากรในแคนาดาตะวันตกที่มีการผลิตน้ำมันดิบจากทรายพรุ เมื่อราคาน้ำมันสูง ค่าเงินดอลลาร์แคนาดา (CAD) จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันลดลงอาจทำให้ค่าเงิน CAD อ่อนตัวได้เช่นกัน ซึ่งทำให้แคนาดาต้องจัดการการส่งออกน้ำมันอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจตกอยู่ในความเสี่ยง

นอร์เวย์จัดการรายได้จากน้ำมันอย่างชาญฉลาด โดยรัฐบาลนอร์เวย์ได้ตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ใช้รายได้จากน้ำมันในการลงทุนเพื่ออนาคต ทำให้เศรษฐกิจของนอร์เวย์มีความมั่นคง แม้ว่าราคาน้ำมันจะผันผวน ค่าเงิน Krone (NOK) จึงมีการตอบสนองที่ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอื่นๆ

เมื่อน้ำมันขึ้น ค่าเงินแข็ง เมื่อน้ำมันลง ค่าเงินอ่อน?

สถานการณ์ ผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อตลาดการเงิน ผลกระทบต่อค่าเงิน
น้ำมันราคาเพิ่มขึ้น รายได้จากน้ำมันเพิ่มขึ้น รายได้เข้าประเทศสูงกว่ารายจ่าย เกิดดุลการค้าเกินดุล ค่าเงินแข็งตัว
น้ำมันราคาเพิ่มขึ้น นักลงทุนมั่นใจในเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นในประเทศสูง นักลงทุนสนใจลงทุนในประเทศ ค่าเงินแข็งตัว
น้ำมันราคาเพิ่มขึ้น การลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานเพิ่มขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจดีขึ้น ค่าผลิตภัณฑ์ในประเทศสูงขึ้น ค่าเงินแข็งตัว
น้ำมันราคาตกลง รายได้จากน้ำมันลดลง รายรับลดลง ก่อให้เกิดการขาดดุล ตลาดการเงินวิตกกังวล ค่าเงินอ่อนตัว
น้ำมันราคาตกลง การผลิตน้ำมันลดลงหรือหยุดชะงัก การผลิตลดลง ส่งผลต่อ GDP ความต้องการซื้อสกุลเงินลดลง ค่าเงินอ่อนตัว
น้ำมันราคาตกลง ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจลดลง ผลกระทบต่อการจ้างงานและการลงทุน ความผันผวนในตลาดการเงินเพิ่มขึ้น ค่าเงินอ่อนตัว

กรณีศึกษา: ดอลลาร์แคนาดากับราคาน้ำมันดิบ

แคนาดาคือประเทศที่น่าสนใจมากเพราะดอลลาร์แคนาดา (CAD) มักจะเคลื่อนไหวไปพร้อมกับราคาน้ำมันดิบเสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างการผลิตและการส่งออกน้ำมันกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินของประเทศ

  • ปี 2014
    • ราคาน้ำมันดิบ: $110 ต่อบาร์เรล
    • USD/CAD: 1.06
    • แนวโน้มค่าเงิน CAD: แข็งค่ามาก
      • ในปีนี้ ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์แคนาดามีความแข็งค่าขึ้น นักลงทุนมีความมั่นใจในเศรษฐกิจแคนาดาเนื่องจากมีรายได้จากน้ำมันมากขึ้น จึงส่งผลให้ค่าเงิน CAD แข็งตัว
    • ปี 2016
      • ราคาน้ำมันดิบ: $30 ต่อบาร์เรล
      • USD/CAD: 1.46
      • แนวโน้มค่าเงิน CAD: อ่อนค่าลงชัดเจน
        • เมื่อราคาน้ำมันดิบตกลงอย่างรวดเร็วในปี 2016 ค่าเงินแคนาดาก็อ่อนตัวตามอย่างเห็นได้ชัด การลดลงของราคาน้ำมันทำให้รายได้ของแคนาดาลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแอ และค่าเงิน CAD ตกลงตาม
      • ปี 2022
        • ราคาน้ำมันดิบ: $100 ต่อบาร์เรล
        • USD/CAD: 1.25
        • แนวโน้มค่าเงิน CAD: แข็งค่าขึ้นอีกครั้ง
          • เมื่อราคาน้ำมันฟื้นตัวกลับมาในปี 2022 ค่าเงินแคนาดาก็เริ่มแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง ราคาน้ำมันที่สูงช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของแคนาดาและเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน ทำให้ค่าเงิน CAD ฟื้นตัว

ทำไมตลาด Forex ถึงจับตาราคาน้ำมันตลอดเวลา?

ในตลาด Forex นักเทรดค่าเงินมักให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพราะน้ำมันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญในเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และสะท้อนถึงความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของสกุลเงินของประเทศนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้นักเทรดจึงมักดูกราฟราคาน้ำมันควบคู่กับกราฟสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอย่างใกล้ชิด

ราคาน้ำมันเป็นเหมือน “ผู้นำเทรนด์” ที่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินได้ นักเทรดจะใช้ราคาน้ำมันเป็นตัวชี้นำในการตัดสินใจลงทุนในสกุลเงินของประเทศที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก หากราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้น สกุลเงินของประเทศที่ผลิตน้ำมันจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากราคาน้ำมันตกลง สกุลเงินของประเทศเหล่านั้นมักจะอ่อนค่าตามราคาน้ำมัน

ตัวอย่างกลยุทธ์ที่นักเทรดมักใช้ เช่น เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น เทรดเดอร์อาจจะเปิด “Long” กับสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอย่าง CAD (ดอลลาร์แคนาดา) หรือ NOK (โครนาของนอร์เวย์) เพราะการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาน้ำมันดิ่งลง นักลงทุนอาจจะเปิด “Short” กับสกุลเงินของประเทศที่พึ่งพาน้ำมันมาก เช่น RUB (รูเบิลของรัสเซีย) หรือ SAR (ริยาลของซาอุดิอาระเบีย) เนื่องจากราคาน้ำมันที่ตกลงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและค่าเงินของประเทศเหล่านี้

เหตุผลที่กราฟน้ำมันเป็นเหมือนเข็มทิศให้กับนักเทรดสายเศรษฐกิจพลังงาน คือการที่ราคาน้ำมันมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน การติดตามราคาน้ำมันจึงช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางของสกุลเงินในอนาคตได้อย่างแม่นยำ โดยการวิเคราะห์ทิศทางของราคาน้ำมันและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ในตลาด

อุปสงค์-อุปทานน้ำมันกระทบค่าเงินยังไง?

สถานการณ์ ผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อค่าเงิน
อุปสงค์สูง (โลกต้องการน้ำมันเยอะ) ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น รายได้จากน้ำมันเพิ่มขึ้น รายรับเข้าประเทศสูงกว่ารายจ่าย ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
อุปสงค์สูง (โลกต้องการน้ำมันเยอะ) ราคาน้ำมันสูงขึ้น การลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำมัน ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
อุปทานล้นตลาด (มีน้ำมันเกินความต้องการ) ราคาน้ำมันลดลง รายได้จากน้ำมันลดลง เศรษฐกิจแย่ลงจากการสูญเสียรายได้ ค่าเงินอ่อนตัว
อุปทานล้นตลาด (มีน้ำมันเกินความต้องการ) ราคาน้ำมันตกลง การลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันลดลง ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ค่าเงินอ่อนตัว
อุปทานล้นตลาด (มีน้ำมันเกินความต้องการ) ราคาน้ำมันลดลง ลดการผลิตน้ำมัน ตลาดการเงินมีความผันผวนเพิ่มขึ้น ค่าเงินอ่อนตัว

กรณีรัสเซีย: พลังงานคืออาวุธทางเศรษฐกิจ

รัสเซียเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาดพลังงานโลก โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศและการเคลื่อนไหวของค่าเงินรัสเซีย (รูเบิล) สถานการณ์ในสงครามยูเครน-รัสเซียในปี 2022 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงการใช้พลังงานเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ:

  • ราคาน้ำมันและก๊าซพุ่งสูงขึ้น
    • เมื่อเกิดสงครามและการคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตก อุปทานน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียถูกจำกัด เนื่องจากหลายประเทศเริ่มหาทางหลีกเลี่ยงการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันและก๊าซพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในตลาดโลก
    • การลดลงของการส่งออกพลังงานจากรัสเซียส่งผลให้ความต้องการพลังงานในตลาดโลกยังคงสูง ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • เงินรูเบิลร่วงลงในช่วงแรก
    • ในช่วงแรกของสงคราม การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่รุนแรงจากประเทศตะวันตกได้กดดันเศรษฐกิจรัสเซียอย่างหนัก ทำให้ค่าเงินรูเบิลร่วงลงอย่างรวดเร็ว
    • การจำกัดการเข้าถึงระบบการเงินระหว่างประเทศ (SWIFT) และการยกเลิกข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ทำให้การเคลื่อนไหวของรูเบิลตกต่ำในช่วงต้นของการคว่ำบาตร
  • รูเบิลแข็งค่าขึ้นในภายหลัง
    • หลังจากที่รัฐบาลรัสเซียเริ่มบังคับให้ประเทศต่าง ๆ ซื้อพลังงานจากรัสเซียเป็นรูเบิลแทนการใช้ดอลลาร์หรือยูโร การบังคับให้จ่ายในรูเบิลทำให้ความต้องการรูเบิลในตลาดเพิ่มขึ้น
    • การบังคับให้ซื้อพลังงานด้วยรูเบิลช่วยสนับสนุนค่าเงินรูเบิลในระยะยาว แม้จะมีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งช่วยให้รูเบิลเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นหลังจากช่วงแรกที่ร่วงลงอย่างรุนแรง

ราคาน้ำมันในตลาดโลกถูกกำหนดยังไง?

ราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ได้ถูกกำหนดโดยปัจจัยเดียว แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน ในที่นี้เราจะพูดถึงปัจจัยหลัก ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาน้ำมันในตลาดโลก:

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำหนดราคาน้ำมันคือการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลักในโลก เช่น ซาอุดิอาระเบีย รัสเซีย และประเทศในตะวันออกกลาง กลุ่มนี้มักจะมีการประชุมเพื่อปรับลดหรือเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน ซึ่งผลการตัดสินใจในแต่ละครั้งสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาน้ำมัน ถ้าหาก OPEC+ ตัดสินใจลดปริมาณการผลิตน้ำมัน ราคาน้ำมันก็จะพุ่งขึ้น ในทางกลับกัน ถ้ากลุ่มนี้เพิ่มปริมาณการผลิต ราคาน้ำมันก็จะลดลง

อีกปัจจัยที่มีผลกระทบโดยตรงต่อราคาน้ำมันคือความต้องการในตลาดโลก โดยเฉพาะจากสองประเทศใหญ่ที่ใช้พลังงานมากที่สุดในโลกคือจีนและสหรัฐอเมริกา เมื่อความต้องการน้ำมันในทั้งสองประเทศนี้เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ความต้องการที่ลดลงหรือเกิดการประหยัดพลังงานในประเทศเหล่านี้จะทำให้ราคาน้ำมันตกลง

ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ก็เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะเมื่อเกิดสงคราม การคว่ำบาตร หรือภัยพิบัติต่าง ๆ ในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน หรือในภูมิภาคที่สำคัญต่อการขนส่งน้ำมัน ราคาน้ำมันจะผันผวนอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดสงครามในตะวันออกกลาง การผลิตและการขนส่งน้ำมันอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น

สุดท้าย ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาน้ำมัน เนื่องจากน้ำมันส่วนใหญ่ในตลาดโลกถูกซื้อขายด้วยดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันก็อาจจะแพงขึ้นตามไปด้วย เพราะการที่ดอลลาร์แข็งทำให้การซื้อขายน้ำมันในสกุลเงินอื่น ๆ แพงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์จึงส่งผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างชัดเจน

ประเทศที่ “รอด” แม้น้ำมันราคาตก เขาทำได้ยังไงกันนะ?

ประเทศ กลยุทธ์การจัดการรายได้จากน้ำมัน จุดเด่นของกลยุทธ์ ผลลัพธ์จากกลยุทธ์ ข้อดี
นอร์เวย์ มี “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ที่เก็บรายได้จากน้ำมันเพื่อลงทุนในอนาคต การเก็บออมรายได้จากน้ำมันเพื่อสร้างทุนสำรอง การลงทุนในหุ้นและพันธบัตรต่างประเทศ ช่วยเสริมความมั่นคง พึ่งพาน้ำมันน้อยลง ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคา
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กระจายการลงทุนไปยังภาคบริการ การเงิน และการท่องเที่ยว การลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม เศรษฐกิจไม่พึ่งพาน้ำมันเท่านั้น มีการขยายตัวในหลายด้าน ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว โดยไม่พึ่งพาน้ำมันเพียงอย่างเดียว
สิงคโปร์ เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการและการค้าระหว่างประเทศ มีศูนย์กลางทางการเงินและการค้าระหว่างประเทศ รายได้จากการค้าทั่วโลกและการบริการทางการเงินช่วยให้เศรษฐกิจแข็งแกร่ง ไม่พึ่งพาน้ำมันอย่างเดียว ส่งเสริมธุรกิจหลายภาคส่วน
คูเวต การตั้งกองทุนสำรองจากรายได้จากน้ำมันและการลงทุนในทรัพย์สินต่างประเทศ การกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจสามารถทนต่อความผันผวนของราคาน้ำมันได้ดีขึ้น สร้างรายได้ที่มั่นคงจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ
กาตาร์ การลงทุนในธุรกิจและทรัพย์สินในหลายประเทศทั่วโลก การพัฒนาอุตสาหกรรมต่างประเทศที่ไม่เกี่ยวกับน้ำมัน ช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันในระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก

นักเทรดควรมองหาสัญญาณอะไรจากราคาน้ำมัน?

การจับตาดูราคาน้ำมันสามารถเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกถึงทิศทางของค่าเงิน นักเทรดที่ฉลาดจะรู้ว่าอะไรเป็นสัญญาณที่สามารถช่วยให้พวกเขาคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ค่าเงินอาจจะขยับตามราคาน้ำมัน ซึ่งอาจจะช่วยให้พวกเขาทำกำไรจากการเทรดได้ในระยะยาว

  • ปริมาณน้ำมันคงคลังในสหรัฐ (EIA Report)
    รายงานการสำรวจน้ำมันคงคลังจากสำนักงานข้อมูลพลังงานแห่งสหรัฐ (EIA) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันที่เก็บสำรองในสหรัฐ หากน้ำมันคงคลังเพิ่มขึ้นแสดงว่าอุปสงค์ในตลาดอาจจะลดลง ราคาน้ำมันอาจจะตกตาม และส่งผลต่อค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ส่วนถ้าคงคลังลดลงหมายถึงความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันก็อาจจะเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลให้ค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันแข็งค่าขึ้น
  • ความเคลื่อนไหวของ OPEC
    การประชุมของ OPEC (Organization of the Petroleum Exporting Countries) มีผลกระทบใหญ่ต่อราคาน้ำมัน เนื่องจาก OPEC เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในการควบคุมการผลิตน้ำมัน หากมีการลดปริมาณการผลิตหรือมีการตัดสินใจที่ส่งผลให้ตลาดคาดว่าจะมีน้ำมันน้อยลง ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นตามไปด้วย และทำให้ค่าเงินของประเทศที่ส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
    ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง เช่น สงครามหรือการคว่ำบาตร จะส่งผลต่อการขนส่งน้ำมันและอุปทานในตลาดโลก เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ราคาน้ำมันมักจะพุ่งขึ้นในทันที และอาจส่งผลให้ค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันสูงขึ้นตามไปด้วย
  • ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI
    ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI (West Texas Intermediate) เป็นเกณฑ์สำคัญที่ใช้ในการวัดราคาน้ำมันโลก เมื่อราคาน้ำมันทั้งสองชนิดนี้เพิ่มขึ้นหรือลดลง นักลงทุนจะติดตามเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของราคาน้ำมันซึ่งสามารถบ่งบอกทิศทางของค่าเงินได้เช่นกัน การติดตามการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันทั้งสองประเภทนี้เป็นสิ่งที่นักเทรดใช้ในการคาดการณ์ความผันผวนในตลาดค่าเงิน

เปรียบเทียบการตอบสนองของค่าเงินต่อราคาน้ำมัน

การตอบสนองของค่าเงินต่อราคาน้ำมันนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้การตอบสนองเหล่านี้ไม่เหมือนกัน เช่น ความสำคัญของน้ำมันต่อเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินกับสกุลเงินอื่น ๆ และการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ต่อไปนี้คือการเปรียบเทียบการตอบสนองของค่าเงินต่อราคาน้ำมันในบางประเทศที่สำคัญในตลาดพลังงาน

ในประเทศแคนาดา (CAD) ค่าเงินมีความไวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน เนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้าส่งออกหลักที่มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลให้ค่าเงินแคนาดาขยับตามไปด้วยอย่างชัดเจน ถ้าราคาน้ำมันขึ้น ค่าเงินแคนาดาจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าราคาน้ำมันลดลง ค่าเงินก็จะอ่อนค่าลงตามไปด้วย

ในรัสเซีย (RUB) การตอบสนองของค่าเงินต่อราคาน้ำมันก็สูงเช่นกัน เนื่องจากรัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และการส่งออกน้ำมันเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ การเปลี่ยนแปลงในราคาน้ำมันจะมีผลโดยตรงต่อรูเบิล เช่นเดียวกับในกรณีของแคนาดา หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น รูเบิลจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และหากราคาน้ำมันลดลง ก็จะทำให้รูเบิลอ่อนค่าตามไป

นอร์เวย์ (NOK) มีการตอบสนองที่ปานกลางต่อราคาน้ำมัน เนื่องจากแม้ว่าน้ำมันจะเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ แต่รัฐบาลนอร์เวย์ได้ดำเนินการอย่างชาญฉลาดในการเก็บเงินจากน้ำมันไว้ในกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Norwegian Sovereign Wealth Fund) ที่ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมัน การตอบสนองของค่าเงินนอร์เวย์จึงมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แม้ราคาน้ำมันจะลดลง ค่าเงินก็ยังสามารถคงที่หรือเคลื่อนไหวในระดับที่ไม่รุนแรงมาก

ในประเทศซาอุดิอาระเบีย (SAR) ค่าเงินจะไม่ตอบสนองโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันเท่าไหร่ เนื่องจากซาอุดิอาระเบียได้ตรึงค่าเงินริยาลกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันไม่ได้ส่งผลต่อค่าเงินในประเทศโดยตรง ซึ่งการตรึงค่าเงินนี้เป็นมาตรการทางการเงินที่รัฐบาลใช้เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับค่าเงินและเศรษฐกิจของประเทศ

ราคาน้ำมันกับเงินเฟ้อในประเทศผู้ส่งออก

สถานการณ์ ผลกระทบต่อราคา ผลกระทบต่อเงินเฟ้อ การตอบสนองจากธนาคารกลาง ผลต่อค่าเงิน
น้ำมันขึ้น ราคาเพิ่มขึ้น สินค้าอื่นๆ ขึ้นตาม อาจขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ค่าเงินแข็ง
น้ำมันขึ้นมากเกินไป สินค้าอื่นๆ เพิ่มตามได้มาก เงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ธนาคารกลางอาจขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น ค่าเงินอาจแข็งแกร่งขึ้น
น้ำมันลดลง ราคาเริ่มลดลง เงินเฟ้อชะลอตัว ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ค่าเงินอาจอ่อนลง
เงินเฟ้อสูงเกินไป ราคาสินค้าอื่นๆ ปรับตัวสูง เงินเฟ้อไม่สามารถควบคุมได้ อาจต้องเพิ่มดอกเบี้ยอย่างรุนแรง ค่าเงินอ่อนลง
ควบคุมเงินเฟ้อได้ดี ราคาน้ำมันอาจคงที่หรือเพิ่ม เงินเฟ้อไม่พุ่งเกินไป ดอกเบี้ยคงที่หรือขึ้นเล็กน้อย ค่าเงินแข็งแกร่ง

อนาคตของน้ำมันกับค่าเงิน: จะเป็นยังไงต่อ?

  • การเปลี่ยนแปลงในพลังงานสะอาด
    • โลกกำลังมุ่งไปสู่การใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์, ลม, และพลังงานจากแหล่งทดแทนอื่นๆ
    • การพัฒนาเทคโนโลยีในการเก็บพลังงานและการลดการพึ่งพาน้ำมันจะมีผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันในอนาคต
  • ความผันผวนของราคาน้ำมัน
    • แม้ว่าความต้องการน้ำมันอาจลดลงในอนาคต แต่ในระยะสั้นราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
    • สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์หรือปัญหาด้านอุปทาน เช่น การเปลี่ยนแปลงการผลิตน้ำมันจาก OPEC+ จะทำให้ราคาน้ำมันมีความผันผวนตามไปด้วย
  • ผลกระทบต่อค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน
    • ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลดีต่อประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน เนื่องจากรายได้จากน้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเงินของประเทศเหล่านี้แข็งค่าขึ้น
    • หากราคาน้ำมันตกลงอย่างรวดเร็ว ค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะอ่อนค่าลงตามไปด้วย
  • การเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ
    • ประเทศที่พึ่งพาน้ำมันเป็นรายได้หลักอาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในตลาดพลังงาน
    • ประเทศบางแห่งอาจหันไปลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยี การเงิน หรือบริการ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาน้ำมัน
  • บทบาทของน้ำมันในเศรษฐกิจโลก
    • แม้ว่าโลกจะเดินหน้าไปสู่ยุคพลังงานสะอาด แต่การพึ่งพาน้ำมันยังคงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น
    • ประเทศที่ยังคงพึ่งพาน้ำมันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการใช้พลังงานสะอาดและการใช้พลังงานจากน้ำมัน
  • แนวโน้มการลงทุนในพลังงานทดแทน
    • นักลงทุนจะหันไปลงทุนในพลังงานทดแทนมากขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจช่วยลดความผันผวนของราคาน้ำมัน
    • การลงทุนในพลังงานทดแทนยังสามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสะอาด