เทคนิคการเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง
ลองนึกภาพคุณกำลังเดินเข้าไปในตลาดสด ถ้ามีแม่ค้าเต็มไปหมด มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ ขายอะไรก็ง่าย นั่นแหละคือ “ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง” เปรียบเทียบกับตลาดการเงินก็คือ มีผู้ซื้อผู้ขายเยอะมาก และทำให้ราคาขยับได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เกิดความผันผวนใหญ่ ๆ
ช่วงเวลาไหนที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงที่สุด?
เวลามีความสำคัญมากกว่าที่คิด! แม้ว่าตลาด Forex จะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่มันไม่ได้หมายความว่าทุกช่วงเวลาจะเหมาะสำหรับการเทรดเท่ากัน เพราะบางช่วงตลาดอาจจะเงียบมากและไม่มีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้การเข้าเทรดยากและมีโอกาสทำกำไรน้อยลง ในช่วงเหล่านี้การตัดสินใจเข้าออร์เดอร์อาจทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากไม่มีความมั่นใจในทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาด
ช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงที่สุดมักจะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหลัก ๆ ในโลกเปิดพร้อมกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ตลาดยุโรปและตลาดสหรัฐฯ เปิดซ้อนกัน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการซื้อขายที่มากและราคามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นหรือการเทรดแบบสเกลป์ เนื่องจากความผันผวนในตลาดจะช่วยให้สามารถเข้าและออกจากตลาดได้รวดเร็ว
ช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงมักจะมาพร้อมกับการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญจากทั่วโลก ซึ่งสามารถทำให้ราคาของคู่สกุลเงินต่าง ๆ เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง หรือการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การจ้างงาน การเติบโตของ GDP หรือการเปลี่ยนแปลงของราคาผู้บริโภค การที่เทรดเดอร์สามารถติดตามข่าวเหล่านี้ได้ทันเวลาจะช่วยให้สามารถตัดสินใจเข้าออร์เดอร์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเทรดในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงก็ต้องระวังการผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่มีผู้เข้ามาเทรดมากอาจทำให้เกิดการหลอกล่อของราคาหรือการทำลายจิตวิทยาของนักเทรดในบางครั้ง จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนการเทรดที่ดี และมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรับมือกับความผันผวนเหล่านี้ เพื่อให้สามารถทำกำไรได้ในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูงอย่างมีประสิทธิภาพ
สามช่วงเวลาหลักของตลาด Forex
ช่วงเวลา | ตลาดหลัก | เวลาตามประเทศไทย (ประมาณ) | สภาพคล่อง | ข้อมูลเพิ่มเติม |
Asia | โตเกียว | 06:00 – 15:00 น. | ปานกลาง | ตลาดในช่วงนี้มีการเคลื่อนไหวของราคาไม่เร็วเท่าช่วงยุโรปและสหรัฐฯ แต่ยังคงสามารถหาโอกาสทำกำไรได้ |
Europe | ลอนดอน | 14:00 – 23:00 น. | สูงมาก | ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงที่สุด ราคาขยับเร็วและมีการเคลื่อนไหวของตลาดมากที่สุด |
US | นิวยอร์ก | 19:00 – 04:00 น. | สูงมาก | ตลาดนิวยอร์กเปิดทำการในช่วงนี้พร้อมกับตลาดยุโรป ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงที่ตลาดมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและโอกาสทำกำไรสูงที่สุด |
แล้วสภาพคล่องสูงมันดีตรงไหน?
ถ้าให้สรุปง่าย ๆ คือ สภาพคล่องสูง = ราคาขยับง่าย = เข้าซื้อขายสะดวก แต่ที่เจ๋งกว่านั้นคือ:
- สเปรดแคบลง: เมื่อสภาพคล่องสูง โบรกเกอร์จะสามารถให้ราคาที่ดีขึ้นและสเปรดแคบลง ซึ่งหมายความว่าเราจะเสียค่าธรรมเนียมต่ำกว่าในการเปิดและปิดออร์เดอร์
- สั่งออร์เดอร์ได้เร็ว: การมีสภาพคล่องสูงทำให้การดำเนินการออร์เดอร์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีดีเลย์ ไม่ต้องรอให้ราคาปรับตัวจนเกินไป
- มีความแม่นยำมากขึ้นในการวิเคราะห์: ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง กราฟจะมีความแม่นยำมากขึ้น ไม่มีการหลอกล่อหรือทิศทางที่ไม่ชัดเจน ทำให้การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เทรดสั้นหรือสเกลป์ได้มีประสิทธิภาพกว่า: สำหรับการเทรดสั้น (scalping) หรือการเทรดในระยะเวลาไม่นาน ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงจะทำให้สามารถเปิดและปิดออร์เดอร์ได้อย่างรวดเร็ว และมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ
- ลดความเสี่ยงจากการผันผวน: เมื่อมีสภาพคล่องสูง ความผันผวนของราคาอาจจะลดลง เพราะการเคลื่อนไหวของราคามักจะมีความต่อเนื่องและไม่กระโดดขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
- ราคามีความยืดหยุ่น: ในช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง ราคาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนที่รุนแรงมากนัก
- สามารถรับมือกับข่าวได้ดีกว่า: เมื่อมีสภาพคล่องสูง ตลาดมักจะตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจหรือข่าวสำคัญอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่า ลดความเสี่ยงในการเกิดการกระโดดของราคาแบบไม่มีเหตุผล
- ทำให้การเทรดตามเทรนด์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น: การที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงจะช่วยให้การเทรดตามเทรนด์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาจะมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
ข้อควรระวังในการเทรดช่วงตลาดคึกคัก
อย่าคิดว่าทุกอย่างจะง่ายเสมอไป เพราะพอคนแห่กันเข้ามาเทรดเยอะ ความผันผวนก็ตามมาด้วย! ในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง การเคลื่อนไหวของราคาจะมีความรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มือใหม่หรือแม้กระทั่งเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์แล้วต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการเทรดในช่วงเวลานี้เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาด
หนึ่งในข้อควรระวังที่สำคัญคือ กราฟเหวี่ยงเร็ว ในช่วงที่ตลาดคึกคัก กราฟราคามักจะมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้การตั้ง stop loss อาจโดนได้ง่าย มือใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการจัดการความเสี่ยงอาจตกใจและโดนการหยุดขาดทุนเร็วเกินไป ทั้งที่อาจจะเป็นแค่การเคลื่อนไหวชั่วคราวของราคา ดังนั้นการเลือกจุด stop loss ที่มีระยะห่างที่พอเหมาะและไม่ตั้งใกล้เกินไปจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
นอกจากนี้ ข่าวแรง ที่มักจะปล่อยออกมาช่วงนี้ก็มักส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของราคา ข่าวเศรษฐกิจใหญ่ ๆ หรือการประกาศจากธนาคารกลางมักทำให้ราคาของคู่สกุลเงินขยับไปในทิศทางที่รวดเร็วและไม่คาดคิด ซึ่งอาจทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่เกินคาด และทำให้เทรดเดอร์ไม่สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ จึงต้องระวังข่าวเหล่านี้ที่อาจทำให้ตลาดไม่แน่นอนและเกิดความผันผวนมากขึ้น
สุดท้าย สัญญาณเทรดหลอก ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ควรระวังในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง การเคลื่อนไหวของราคามักจะมีการสร้างสัญญาณเทรดที่หลอกล่อให้เราคิดว่าราคาจะไปในทิศทางหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วราคากลับหมุนตัวไปในทิศทางตรงข้าม เช่น การเกิด fake out ของแท่งเทียน ซึ่งอาจทำให้เราตัดสินใจเปิดออร์เดอร์ในทิศทางผิดและเสียเงินได้ การตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีสัญญาณที่แข็งแกร่งและไม่รีบเปิดออร์เดอร์ในช่วงที่กราฟยังไม่แน่นอนจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้มาก.
กลยุทธ์เทรดสำหรับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง
กลยุทธ์ | คำอธิบาย | ข้อดี | ข้อเสีย | เหมาะกับการเทรดประเภทไหน |
Scalping (สเกลป์) | การเปิดและปิดออร์เดอร์ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเล็กน้อย | การทำกำไรอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดมีการเคลื่อนไหวมาก | ต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำ จึงเหมาะกับคนที่มีประสบการณ์ | การเทรดระยะสั้น เช่น สเกลป์, อินดิเคเตอร์ที่ใช้ได้ดีในสภาพคล่องสูง |
Breakout Trading (การเทรดตามการเบรกเอาท์) | การจับจังหวะที่ราคาเบรกผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ | โอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงหลังจากราคาผ่านแนวต้านหรือแนวรับ | อาจมีการหลอกล่อของราคาหรือ fake out ในบางครั้ง | เทรดเดอร์ที่ชอบจับการเคลื่อนไหวใหญ่ในตลาด |
Trend Following (การเทรดตามเทรนด์) | การเปิดออร์เดอร์ในทิศทางเดียวกับแนวโน้มของตลาด | สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องในช่วงที่ตลาดมีทิศทางชัดเจน | หากทิศทางตลาดเปลี่ยนเร็ว การปิดออร์เดอร์อาจทำให้ขาดทุน | เหมาะกับการเทรดในระยะกลางถึงยาว |
Range Trading (การเทรดในช่วงกรอบราคา) | การซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน โดยไม่ต้องคาดเดาการเคลื่อนไหวใหญ่ | ใช้งานได้ง่ายในตลาดที่ไม่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป | หากมีการ breakout ออกจากกรอบราคา อาจทำให้ขาดทุน | เหมาะกับตลาดที่มีการเคลื่อนไหวในช่วงแคบ |
News Trading (การเทรดจากข่าว) | การเทรดตามข่าวเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา | ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาหลังจากข่าวสำคัญถูกปล่อยออกมา | มีความเสี่ยงสูงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว | เทรดเดอร์ที่ชำนาญในการวิเคราะห์ข่าวและการเคลื่อนไหวของตลาด |
เทรดแนวรับ-แนวต้านแบบแม่น ๆ
ช่วงที่สภาพคล่องสูง แนวรับและแนวต้านจะมีความชัดเจนมากขึ้น และมักจะถูกทดสอบหลายรอบ หากเราสามารถเข้าใจจุดเหล่านี้ได้ดี จะช่วยให้การเทรดของเราเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- วาดเส้นแนวรับและแนวต้านจาก Timeframe H1 ขึ้นไป: การเลือกกราฟใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า เช่น H1 (1 ชั่วโมง) จะช่วยให้เรามองเห็นแนวรับและแนวต้านที่สำคัญและน่าเชื่อถือกว่า เพราะกราฟใน Timeframe ที่เล็กกว่าอาจจะมีการเคลื่อนไหวที่มากเกินไปและไม่เสถียร
- รอ “confirm” ว่าราคาชนแล้วกลับตัวจริง ไม่ใช่แค่หลอก: เมื่อราคามาถึงแนวรับหรือแนวต้านแล้ว เราต้องรอการยืนยันจากการกลับตัวของราคา เช่น การเคลื่อนไหวที่ไม่หลอกลวงหรือการเกิดแพทเทิร์นเทคนิคที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการกลับตัวนั้นจะไม่เป็นแค่การหลอกให้เราตัดสินใจผิด
- เทรดเมื่อมีแท่งเทียนกลับทิศชัดเจน เช่น Engulfing หรือ Pin Bar: แท่งเทียนที่กลับทิศชัดเจนจะช่วยให้เรารู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของตลาด ซึ่งเทรดเดอร์มักจะมองหาแพทเทิร์นที่แสดงถึงการกลับตัว เช่น แท่งเทียนแบบ Engulfing หรือ Pin Bar ที่ชัดเจน เพราะมันแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของราคา
- ตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม: เมื่อเราเทรดตามแนวรับ-แนวต้าน การตั้ง Stop Loss ที่ระดับที่มีความหมายจะช่วยป้องกันการขาดทุนในกรณีที่ราคาผิดทิศทางไปจากที่คาดไว้ โดยสามารถตั้งให้ต่ำกว่าแนวรับเมื่อซื้อ หรือสูงกว่าแนวต้านเมื่อขาย
- มีแผนการทำกำไรที่ชัดเจน: เมื่อเข้าเทรดตามแนวรับและแนวต้านแล้ว ควรกำหนดจุดทำกำไรให้ชัดเจน เช่น ใช้ Ratio Risk-Reward หรือดูจากการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต เพื่อตัดสินใจว่าจะทำกำไรที่ไหน
- หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีข่าวแรง: การเทรดในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจใหญ่ ๆ หรือเหตุการณ์สำคัญที่อาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาอาจทำให้ราคาเบี่ยงเบนจากแนวรับ-แนวต้านได้ การหลีกเลี่ยงช่วงเวลานี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเทรด
เทรดตามข่าว (News Trading)
การเทรดตามข่าวเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง เพราะข่าวเศรษฐกิจใหญ่ ๆ ที่ถูกปล่อยออกมามักจะทำให้กราฟราคาขยับอย่างรวดเร็วและมีความผันผวนสูง โดยข่าวที่สำคัญที่เทรดเดอร์มักจะจับตามองคือ Non-farm payrolls (NFP), การประกาศดัชนี CPI, หรือการปรับอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate). เมื่อข่าวเหล่านี้ถูกประกาศออกมา ราคาของคู่สกุลเงินต่าง ๆ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ทำให้เกิดโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่สำคัญในการเทรดตามข่าวคือการ ดูปฏิทินข่าว อย่างเช่น ForexFactory เพื่อให้เราได้ทราบล่วงหน้าว่ามีข่าวใหญ่ ๆ ที่จะประกาศเมื่อไร และข่าวไหนที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาของคู่สกุลเงินที่เราต้องการเทรด. การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้เรามีเวลาในการวางแผนและเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ในขณะที่บางคนอาจจะอยากเทรดทันทีที่ข่าวออกมา แต่จริง ๆ แล้ว ควรรอจังหวะหลังข่าวออก 5-15 นาที เพื่อให้ตลาดมีเวลาในการ “เลือกทาง” หลังจากการประกาศข่าว. เพราะในช่วงแรกที่ข่าวออกมานั้น ราคามักจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและบางครั้งอาจเกิดการเบี่ยงเบนหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่แน่นอนจนกว่าตลาดจะมีการตอบสนองชัดเจน
สุดท้าย หลีกเลี่ยงการเข้าเทรดทันทีที่ข่าวออก เพราะช่วงเวลาหลังจากการประกาศข่าวจะมีการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถคาดเดาได้และอาจทำให้เกิดความเสี่ยงสูงในการเดิมพัน. การรอให้ราคามีการเคลื่อนไหวตามแนวโน้มที่ชัดเจนหลังจากข่าวจะช่วยให้เราสามารถเปิดออร์เดอร์ได้มั่นใจและมีโอกาสทำกำไรได้สูงขึ้น.
Scalping Strategy (เล่นสั้น)
กลยุทธ์ | คำอธิบาย | ข้อดี | ข้อเสีย | เหมาะกับการเทรดประเภทไหน |
Timeframe M1 หรือ M5 | ใช้กราฟใน Timeframe ที่เล็ก เช่น M1 (1 นาที) หรือ M5 (5 นาที) เพื่อจับการเคลื่อนไหวในระยะสั้น | สามารถจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วได้ | การเคลื่อนไหวใน Timeframe เล็กอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้ง่าย | เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ชอบทำกำไรในระยะสั้น |
ตั้ง Stop Loss แบบแน่น | การตั้ง Stop Loss ให้แคบ (ไม่เกิน 5-10 pip) เพื่อจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ตลาดพลิกกลับ | สามารถจำกัดการขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว | หากราคาขยับผิดทางเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ถูก Stop Loss บ่อย | เหมาะกับการเทรดที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว |
ใช้ Indicator ช่วย | ใช้ Indicator เช่น EMA 20 (Exponential Moving Average) และ RSI (Relative Strength Index) เพื่อช่วยในการตัดสินใจ | ช่วยยืนยันทิศทางของตลาดและให้จุดเข้า/ออกที่ชัดเจน | ต้องมีความเข้าใจในการใช้งาน Indicator อย่างถูกต้อง | เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ใช้เครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ |
การทำกำไรหลายรอบในวันเดียว | การเล่นสเกลป์มักจะทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาหลายครั้งในหนึ่งวัน | สามารถทำกำไรได้หลายรอบในวันเดียว | ต้องใช้เวลามากในการจับจังหวะ ทำให้การเทรดอาจเครียด | เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำกำไรในแต่ละวัน |
การควบคุมอารมณ์ | ต้องมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ในการตัดสินใจเร็ว ๆ ในการเทรด | ทำให้การเทรดมีความมั่นคงและมีประสิทธิภาพ | หากขาดการควบคุมอารมณ์อาจนำไปสู่การเทรดผิดพลาด | เหมาะกับผู้ที่มีวินัยในการเทรดสูง |
เทรด Breakout แบบมือโปร
การเทรด Breakout เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงที่ตลาดมีความเร็วสูง โดยราคามักจะพุ่งแรงเมื่อทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ ซึ่งเป็นจุดที่นักเทรดมักจะจับตาดู อย่างไรก็ตาม นักเทรดมือใหม่มักจะเจอกับปัญหาคือการโดนหลอก breakout ซึ่งราคาทะลุแนวสำคัญแล้วไม่ไปต่อ แต่กลับย้อนกลับไปอีก ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการโดนหลอกเป็นเรื่องสำคัญ
- รอดูแท่งเทียนปิดยืนยัน: การรอให้แท่งเทียนปิดเหนือแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญจะช่วยยืนยันว่า breakout นั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การทดสอบที่หลอกให้เราเข้าใจผิด แท่งเทียนที่ปิดเต็ม ๆ จะมีความหมายมากกว่าการที่แค่มีไส้เทียนหรือการทะลุราคาเพียงชั่วคราว
- ใช้ Volume ประกอบ: Volume หรือปริมาณการซื้อขายเป็นตัวช่วยที่ดีในการยืนยันการ breakout จริง ๆ ถ้าหากราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านพร้อมกับ Volume ที่พุ่งขึ้นอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่ามีการสนับสนุนจากการซื้อขายจำนวนมาก ซึ่งจะเพิ่มความมั่นใจว่าการ breakout นั้นไม่น่าจะเป็นการหลอกลวง
- ใช้ Pending Order รอแทนการเข้าทันที: แทนที่จะเข้าเทรดทันทีเมื่อราคาทะลุแนวสำคัญ การใช้ pending order จะช่วยให้เราเข้าเทรดเมื่อราคาทะลุและยืนยันการเคลื่อนไหวแล้วเท่านั้น การตั้ง pending order ไว้ที่ระดับแนวต้านหรือแนวรับที่สำคัญ จะทำให้เรามั่นใจว่าไม่โดนหลอก breakout โดยไม่ตั้งใจ
- การตั้ง Stop Loss ที่ชัดเจน: การตั้ง Stop Loss ไว้ที่ระดับที่เหมาะสมเมื่อทำการ breakout จะช่วยจำกัดความเสี่ยงในการผิดพลาด การตั้ง Stop Loss ด้านล่างหรือด้านบนของจุด breakout จะช่วยป้องกันไม่ให้ขาดทุนหากราคาหวนกลับไป
- ตรวจสอบแนวโน้มใหญ่: ก่อนที่จะทำการ breakout ควรตรวจสอบทิศทางใหญ่ของตลาดว่ามีแนวโน้มในทิศทางเดียวกันหรือไม่ การ breakout ในทิศทางที่ตรงกับแนวโน้มหลักของตลาดจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าการ breakout ในทิศทางที่สวนทางกับแนวโน้มหลัก
อินดิเคเตอร์ที่แนะนำในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง
การใช้ อินดิเคเตอร์ ในการเทรดเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจและเพิ่มความแม่นยำในการเทรด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดเดาแนวโน้มและทิศทางของราคาได้ดีขึ้น โดยอินดิเคเตอร์ที่ได้รับการแนะนำในช่วงนี้มีหลากหลายตัวที่เหมาะสมกับการเทรดในสภาวะที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็วและมีความผันผวนสูง
Moving Average (EMA) เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่สำคัญในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เพราะมันช่วยให้เราหาทิศทางแนวโน้มได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการใช้ Exponential Moving Average (EMA) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับราคาล่าสุด ทำให้มันไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่าการใช้ Simple Moving Average (SMA) การใช้ EMA จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นทิศทางหลักของตลาดได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่แนะนำในช่วงที่มีสภาพคล่องสูง
อีกหนึ่งอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมคือ RSI (Relative Strength Index) ซึ่งใช้ในการหาจุด overbought หรือ oversold เพื่อบ่งบอกว่าตลาดนั้นมีการซื้อหรือขายมากเกินไปหรือไม่ การใช้ RSI สามารถช่วยให้เราเห็นโอกาสในการย้อนกลับของราคา เมื่อค่าของ RSI สูงเกิน 70 แสดงว่าตลาดอยู่ในสถานะ overbought และอาจจะมีการปรับตัวลงมา ส่วนหากค่าต่ำเกิน 30 ก็แสดงว่า oversold ซึ่งอาจเกิดการย้อนกลับของราคาเช่นกัน
MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจับโมเมนตัมของตลาดและแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบสั้นและยาว ซึ่งสามารถช่วยบ่งชี้การเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่หรือการยืนยันแนวโน้มที่มีอยู่ การใช้ MACD ในการเทรดช่วงที่มีสภาพคล่องสูงนั้นสามารถช่วยเทรดเดอร์ตรวจสอบความแข็งแกร่งของแนวโน้มและทำให้การตัดสินใจในการเปิดออร์เดอร์มีความแม่นยำมากขึ้น
Money Management ในตลาดไว
กฎทอง | รายละเอียด | เหตุผลสำคัญ | วิธีการนำไปใช้ | ข้อควรระวัง |
เสี่ยงไม่เกิน 2% ต่อการเทรด | การเสี่ยงไม่เกิน 2% ของทุนที่มีในแต่ละเทรดจะช่วยรักษาพอร์ตให้ยั่งยืน | ช่วยให้ไม่ขาดทุนจนหมดพอร์ต และมีโอกาสกลับมาทำกำไรใหม่ | คำนวณการเสี่ยงก่อนเข้าทุกเทรด โดยคิดจากจำนวนเงินในพอร์ต | อย่าเสี่ยงมากเกินไปในเทรดเดียว หลีกเลี่ยงการเทรดที่ไม่คุ้มค่า |
ใช้ lot size ตามทุน | การเลือกขนาด lot ขึ้นอยู่กับขนาดทุนที่มี ไม่ควร overtrade | ช่วยให้การเทรดมีความสมดุลและไม่เสี่ยงมากเกินไป | คำนวณขนาด lot ตามขนาดพอร์ต เช่น 1% ของพอร์ตเป็น 1 lot | อย่าใช้ lot ที่มากเกินไปเมื่อทุนไม่พอ |
มี stop loss และ take profit | การตั้ง stop loss และ take profit ที่ชัดเจนจะช่วยให้รู้ว่าเมื่อไหร่จะออกจากตลาด | ควบคุมการขาดทุนและรับกำไรได้อย่างมีระเบียบ | กำหนดจุดที่ stop loss และ take profit ชัดเจนก่อนเปิดการเทรด | อย่าให้ความอารมณ์มาเปลี่ยนแปลงจุดเหล่านี้ |
ห้ามลากออร์เดอร์เมื่อผิดทาง | เมื่อราคาเคลื่อนที่ผิดทิศทาง ห้ามขยายขาดทุนโดยการลากออร์เดอร์ | ช่วยให้ไม่สูญเสียมากเกินไป และไม่ทำให้เกิดความเครียดเกินจำเป็น | ปิดออร์เดอร์เมื่อรู้ว่ามีการเคลื่อนไหวผิดทิศทางทันที | หลีกเลี่ยงการหวังว่า “ราคาอาจจะกลับมา” เมื่อผิดทาง |
เตรียมแผนการรับมือกับการขาดทุน | ควรเตรียมแผนการรับมือหากเกิดการขาดทุนและมีการตั้งกฎการหยุดขาดทุน | ช่วยให้มีการรับมือที่ดีและไม่หลงทางในช่วงขาดทุน | วางแผนรับมือกับการขาดทุน เช่น การลด lot size หรือหยุดการเทรด | อย่าเทรดโดยไม่มีแผนรับมือเมื่อขาดทุน |
ข้อดี-ข้อเสียของการเทรดในช่วงตลาดสภาพคล่องสูง
- ด้านดี
- สเปรดแคบ
ช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูงทำให้สเปรดระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายแคบลง ซึ่งจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการเทรดลดลงและสามารถทำกำไรได้มากขึ้น - เข้าออร์เดอร์เร็ว
เมื่อมีสภาพคล่องสูง การดำเนินการเข้าสู่การซื้อขายจะรวดเร็วขึ้น ทำให้สามารถเข้าทำการเทรดได้ทันทีตามจังหวะที่ตลาดเคลื่อนไหว - สัญญาณชัดเจน
ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงมักจะมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน สัญญาณต่าง ๆ เช่น แนวรับ-แนวต้าน หรือสัญญาณเทคนิคอื่น ๆ มักจะชัดเจนและเชื่อถือได้มากขึ้น - ทำกำไรได้เร็ว
ช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง ราคามักจะขยับเร็ว ส่งผลให้สามารถทำกำไรได้ในระยะเวลาสั้น ๆ หากจับจังหวะได้ถูกต้อง - ด้านเสีย
- ผันผวนสูง
แม้ว่าการเคลื่อนไหวของราคาจะรวดเร็วและทำกำไรได้ดีในบางช่วง แต่ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงมักจะมีความผันผวนมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดทุนได้ง่ายหากไม่ระมัดระวัง - โดน stop loss ง่าย
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและไม่คาดเดาได้ของราคาทำให้มีโอกาสที่ stop loss จะโดนในเวลาสั้น ๆ โดยที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวตามคาดหมาย - ข่าวมีผลมาก
ในช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง ข่าวเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ มักมีผลกระทบอย่างมากต่อราคาทำให้การเทรดเป็นไปได้ยากและต้องระวังการตอบสนองของตลาดต่อข่าวเหล่านั้น - ต้องมีแผนที่แม่นยำ
เนื่องจากความผันผวนสูง การทำกำไรในช่วงนี้จำเป็นต้องมีการวางแผนที่ดีและแน่นอน โดยต้องรู้วิธีการบริหารความเสี่ยงและมีการตั้ง stop loss และ take profit ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการขาดทุน